ทำไมคนรัสเซียถึงดื่มหนัก? ชนชาติหมีขาวกับปัญหาแอลกอฮอล์ที่แก้ไม่จบ

ทำไมคนรัสเซียถึงดื่มหนัก? ชนชาติหมีขาวกับปัญหาแอลกอฮอล์ที่แก้ไม่จบ

ทำไมคนรัสเซียถึงดื่มหนัก? ชนชาติหมีขาวกับปัญหาแอลกอฮอล์ที่แก้ไม่จบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     ขณะที่สหรัฐกับสหภาพยุโรปกำลังคว่ำบาตรทางการค้ากับรัสเซียอย่างหนักจากความพยายามคุกคามยูเครน จนสินค้าอย่างคาเวียร์ราคาพุ่งสูงขึ้น เช่นเดียวกับวอดก้า จนนักดื่มและวงการอาหารและเครื่องดื่มต้องกุมขมับ

     แต่เมื่อหันมามองอีกด้าน เราจะพบว่าชาวรัสเซียเองก็มีปัญหาที่แก้ไม่ตก ชายรัสเซียจมูกแดง ตาปรือ เคราเฟิ้ม ในมือกอดขวดวอดก้าไม่ห่างตัว ข้างๆ คือขวดมะนาวดอง และขนมปังไรย์ที่เอาไว้กินขณะจิบน้ำเมาไร้สี พร้อมเปล่งเสียงร้องเพลงอย่างไม่แคร์ใคร แม้ชีวิตจะไม่เพอร์เฟ็กต์ และไม่มีคาเวียร์ให้กินกับขนมปังทุกวัน แต่อย่างน้อยวอดก้าก็ช่วยสร้างภาพให้ชีวิตดูดีขึ้นได้ชั่วคราว นี่เป็นภาพที่ชินตาไปเสียแล้วในรัสเซีย และเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกสำหรับการติดเหล้าที่บั่นทอนประเทศมาอย่างยาวนาน

     รู้ไหมว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) เผยว่ามีนักดื่มชายจำนวน 1 ต่อ 5 ในรัสเซียที่เสียชีวิตจากปัญหาที่เกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์ เทียบกับอัตรา 6.2 คนสำหรับนักดื่มเพศชายทั่วโลก มีการคาดการณ์เมื่อปี 2013 ว่ามีผู้เสพติดแอลกอฮอล์มากถึง 20 ล้านคนในรัสเซียที่มีประชากรอยู่ราวๆ 144 ล้านคน

 

     ปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ในรัสเซียมีมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยพระเจ้าซาร์ ช่วงการปฏิวัติรัสเซีย ไปจนยุคสหภาพโซเวียต และยุคผันเปลี่ยนจากระบอบเผด็จการสังคมนิยมไปสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบทุนนิยม และยังคงฝังรากอยู่ในสังคมรัสเซียจนถึงทุกวันนี้ คุณจะได้เห็นคนติดสุราแดนหมีขาวนั่งอยู่บนม้านั่งในสวนสาธารณะ ไม่ก็ขั้นบันไดในสถานีรถไฟ ในมือคีบบุหรี่โดยพวกเขากำลังคิดว่าเขาจะไปนั่งดื่มที่ไหนต่อ และจะมีเงินพอจ่ายค่าเหล้านั้นไหม

     แม้ว่ารัฐบาลรัสเซียพยายามต่อสู้กับปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ดูจะไร้ผล “นี่รวมถึงการปฏิรูปสี่ครั้งก่อนปี 1917 และมาตรการอย่างเคร่งครัดที่ดำเนินการในช่วงยุคโซเวียตในปี 1958, 1972 และ 1985 แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มีการรณรงค์งดดื่มแอลกอฮอล์ คนรัสเซียก็พบว่าตัวเองต้องเผชิญกับการเมาสุราและโรคพิษสุราเรื้อรังที่แพร่กระจายมากยิ่งขึ้นอีก” จีจี ไซเกรฟ (GG Zaigraev) ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาและหัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์ของสถาบันสังคมวิทยาที่สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งรัสเซียเขียนเอาไว้ในวารสารการวิจัยด้านสังคมวิทยา 

     มาร์ค ลอว์เรนซ์ ชาร์ด (Mark Lawrence Schrad) เคยระบุเอาไว้ใน The New York Times ว่า “เหล่าผู้ปกครองในรัสเซียได้เปรียบจากการติดสุราของผู้คน และพยายามล้มล้างความพยายามรณรงค์งดดื่มสุรามานักต่อนัก เพราะเจ้าซาร์อีวานที่ 4 หรือที่รู้จักกันว่าอีวานผู้เหี้ยมโหด (Ivan the Terrible) เจ้าชายแห่งมอสโก ยังสนับสนุนให้คนของเขาดื่มจนลืมโลกได้อย่างตามสบายตามโรงเตี๊ยมของรัฐเพื่อให้เงินเข้ากระเป๋าของเขาเอง”

     นอกจากนั้นก่อนที่มิคาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) จะขึ้นสู่อำนาจในช่วงทศวรรษ 1980 ผู้นำโซเวียตก็ยินดียินยอมกับการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยให้เป็นแหล่งรายได้หลักหนึ่งของรัฐ และไม่ได้มองว่าการดื่มหนักเป็นปัญหาทางสังคมแต่อย่างใด ทั้งรัฐมนตรีคลังของรัสเซีย อเล็กไซ แอล. คูดริน (Aleksei L. Kudrin) ได้บอกกับชาวรัสเซียว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่ชาวรัสเซียสามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศที่อ่อนแอคือการสูบบุหรี่และดื่มให้มากขึ้นซึ่งจะทำให้เสียภาษีมากขึ้น 

     และเมื่อรัฐอำนวยความสะดวกในการขายและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล่าผู้ปกครองก็มีอิทธิพลอย่างมากในอดีตในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ประวัติศาสตร์การดื่มสุราของรัสเซียจริงๆ แล้วยังย้อนกลับไปอีกหลายศตวรรษ

 

     ในปี ค.ศ. 988 เจ้าชายวลาดิเมียร์ (Prince Vladimir) ได้ปฏิรูปประเทศให้เป็นคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นนิกายที่ไม่ได้ห้ามดื่มแอลกอฮอล์เช่นนิกายอื่นๆ นอกจากนั้นในปี ค.ศ. 1223 ที่กองทัพรัสเซียพ่ายแพ้ย่อยยับต่อชาวมองโกลและตาร์ตาร์ที่มาบุกรุก ว่ากันว่าแท้จริงแล้วส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักรบรัสเซียเมาในสนามรบนั่นเอง นอกจากนั้นอีวานผู้เหี้ยมโหดยังก่อตั้งสิ่งที่เรียกว่า “kabaks” ที่เป็นทั้งโรงบ่มและผลิตเหล้าและที่จำหน่ายในปี 1540 และในปี 1640 และเขาก็กลายเป็นผู้ผูกขาดสินค้าไปโดยปริยาย จนในช่วงปี 1648 มีประชากรชาย 1 ใน 3 ของประเทศที่ติดหนี้ร้านเหล้า และในช่วงทศวรรษ 1700 ผู้ปกครองรัสเซียก็เริ่มหากำไรจากโรคพิษสุราเรื้อรังของผู้คน 

     “พระเจ้าปีเตอร์มหาราช (Peter the Great) ได้ออกคำสั่งว่าควรเฆี่ยนภรรยาของชาวนาหากพวกเธอคิดที่จะลากสามีออกจากโรงเตี๊ยมก่อนที่ผู้ชายพร้อมจะไปเอง” ไฮดี บราวน์ (Heidi Brown) ผู้สื่อข่าวของนิตยสาร Forbes ที่ใช้ชีวิตและทำข่าวอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 1 ทศวรรษระบุไว้ในวารสาร World Policy Journal “ปีเตอร์มหาราชยังฉวยประโยชน์จากกลุ่มคนงานที่ทำงานโดยไม่ต้องเสียเงินค่าจ้างโดยใช้คนที่เป็นหนี้ร้านเหล้าหลวงมารับราชการ 25 ปีในกองทัพแทน”

     จากข้อมูลของไฮดี บราวน์ในปี 1850 เธอเผยว่ายอดขายวอดก้าทำรายได้เกือบครึ่งจากภาษีที่จ่ายให้กับรัฐบาลรัสเซีย แต่หลังการปฏิวัติรัสเซียในปี 1917 วลาดิเมียร์ เลนิน (Vladimir Lenin) ก็สั่งแบนวอดก้า อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาเสียชีวิต โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) ก็กลับมาจำหน่ายวอดก้าเพื่อช่วยหารายได้ให้กับอุตสาหกรรมสังคมนิยมของสหภาพโซเวียตอีกครั้ง 

     ภายในปี 1970 รายรับจากแอลกอฮอล์ถือเป็นรายได้หนึ่งในสามของรายได้ของรัฐบาลอีกครั้ง งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของชาวแดนหมีขาวเพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัวระหว่างปี 1955 และ 1979 เป็น 15.2 ลิตรต่อคน!

     ทุกวันนี้มีการรณรงค์ต่อต้านแอลกอฮอล์ในวงกว้างเพียงแค่สองครั้งในรัสเซีย โดยทั้งสองครั้งเกิดขึ้นในช่วงสหภาพโซเวียต แคมเปญหนึ่งเกิดขึ้นภายใต้การดูแลของวลาดิมีร์ เลนิน และอีกแคมเปญภายใต้การนำของมิคาอิล กอร์บาชอฟ โดยมีบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับผู้ที่ก่ออาชญากรรมในขณะมึนเมา ขณะที่บรรดาผู้นำแดนหมีขาวคนอื่นๆ ล้วนเพิกเฉยต่อโรคพิษสุราเรื้อรังหรือยอมรับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากของประชาชน ทั้งยังไม่ทำอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

     มิคาอิล กอร์บาชอฟ ประกาศกฎหมายทำสงครามกับสุราเมื่อปี 1985 ที่ช่วงที่โรคพิษสุราเรื้อรังเป็นโรคที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 3 ในโซเวียตรองจากโรคหัวใจและโรคมะเร็ง และมาตรการนี้ของเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นแผนที่แน่วแน่และมีประสิทธิภาพมากที่สุดจนถึงปัจจุบัน โดยมีอัตราการเกิดเพิ่มขึ้น อายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ภรรยาได้พบหน้าสามีมากขึ้น รวมถึงผู้คนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

     แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพบว่าราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พุ่งสูงขึ้นและการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของรัฐลดลง ชาวรัสเซียบางกลุ่มก็เริ่มหมักเหล้าเอง และใช้สารที่เป็นพิษกับตัวเองอย่างสารที่อันตราย ประชาชนบางกลุ่มไม่พอใจการรณรงค์ต่อต้านแอลกอฮอล์ของกอร์บาชอฟจนกลายเป็นมุกตลกคร่ำครึของสหภาพโซเวียตที่ว่า “แถวต่อคิวซื้อวอดก้ายาว และมีชายยาจกคนหนึ่งทนไม่ไหว เขาลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า 'ฉันจะไปที่เครมลินเพื่อฆ่ากอร์บาชอฟ’ หนึ่งชั่วโมงให้หลัง เขากลับมาที่คิวแถวซื้อวอดก้า ทุกคนถามเขาว่า ‘คุณจัดการเขาแล้วหรือ?’ ชายคนนั้นก็ตอบว่า ‘คิวฆ่ากอร์บาชอฟยาวกว่านี้เสียอีก!’”

     แม้กอร์บาชอฟจะพยายามหนักหนาแต่ในช่วงปลายยุคโซเวียตโรคพิษสุราเรื้อรังก็ยังคงฝังรากไม่ไปไหนในรัสเซีย หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต การผูกขาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของรัฐถูกยกเลิกในปี 1992 ส่งผลให้อุปทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ วารสาร World Health ระบุว่าในปี 1993 มีชาวรัสเซียบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากถึง 14.5 ลิตรต่อคน ส่งผลให้ชาวรัสเซียกลายเป็นชาติที่ดื่มหนักที่สุดในโลก

     ทุกวันนี้การเก็บภาษีแอลกอฮอล์ในแดนหมีขาวยังคงต่ำ (ต่างกับประเทศไทย) โดยวอดก้าขวดถูกที่สุดมีราคาเพียง 30 รูเบิล หรือราวๆ 10 กว่าบาทต่อขวดเท่านั้น… คำตอบง่ายๆ ที่ว่าทำไมชาวรัสเซียจำนวนมากจึงตกเป็นทาสของแอลกอฮอล์ ก็คือเนื่องจากราคาถูก แอลกอฮอล์ประมาณ 30-60 เปอร์เซนต์ถูกผลิตขึ้นอย่างลับๆ แบบไม่ต้องเสียภาษี ถูกผลิตในโรงงานจำนวนมากที่มีใบอนุญาตผลิตที่ผู้ตรวจการของรัฐรับติดสินบนเพื่อเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ 

     ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) เคยวิพากษ์วิจารณ์การดื่มหนัก แต่กระนั้นแทบไม่ได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบเกี่ยวกับการผลิตสุรา และไม่มีโครงการที่สอดคล้องกันเพื่อต่อสู้กับโรคพิษสุราเรื้อรังให้เห็นได้ชัด ขณะที่เกนนารี โอนิชเชนโก (Gennady Onishchenko) หัวหน้าผู้ตรวจการสาธารณสุขของสหพันธรัฐรัสเซียเคยเรียกร้องให้รัฐบาลใช้จ่ายจำนวนมากในการรักษาโรคพิษสุราเรื้อรังแทน เพื่อช่วยปัญหาการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ที่เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าในปี 1990 โดยเขาอ้างว่าการห้ามและการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตส่งผลลบต่อการผลิตและการค้า

 

     ในขณะที่การรักษาการติดยาเสพติดในรัสเซียพัฒนาไปอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1990 แต่โครงสร้างโดยรวมของเครือข่ายที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญมาตั้งแต่ยุคปี 1970 โดยยังคงใช้วิธีการรักษาที่ไม่เป็นที่นิยมมากนักในการรักษาโรคติดสุราเรื้อรัง อย่างการผ่าตัดสมองด้วยเข็ม และการเพิ่มอุณหภูมิร่างกายให้ “เดือด” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาอาการถอนการเสพติดที่รุนแรง ขณะที่การรักษาโรคพิษสุราเรื้อรังแบบทั่วไปกลับไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ และไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ทำให้ยารักษาหายากและไม่มีเงินทุนมากพอในการทำการรักษา

     เรื่องความศรัทธาก็มีอิทธิพลในรัสเซียไม่แพ้กัน เพราะในขณะเดียวกันชาวรัสเซียที่ยึดมั่นในศาสนาจำนวนมากยังคงชอบการรักษาแบบเดิมๆ มากกว่า “ตอนไปบำบัดโปรแกรมเพื่อการฟื้นฟูสภาพจากโรคติดสุรา ผมไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย คนพวกนี้ไม่พูดถึงพระเจ้า และยังบอกว่าพวกเขาเอาชนะโรคพิษสุราเรื้อรังด้วยตัวเอง ทั้งยังดูภูมิใจกับมันมาก” ผู้นับถือนิกายออร์โธดอกซ์คนหนึ่งเขียนบนบล็อกของเขา “ผมไปโบสถ์และพวกเราพิชิตมันได้ด้วยการอธิษฐานและการอดอาหารแทน”

     เราคงได้แต่เอาใจช่วยอยู่ห่างๆ และหวังว่าสถานการณ์ที่บ้านเขาจะไม่แย่ลงหลังจากเจอการคว่ำบาตรจากทั่วโลกที่อาจทำให้ผู้คนจน เครียด แล้วกินเหล้า แบบที่ สสส. ของไทยว่าไว้วนไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook