ทำความรู้จัก 3 หมอหล่อซีเนริโอ หมอตั้ม-หมอต้นตินน์-หมอโอ๊บ
คุยสบายๆ กับ 3 คุณหมอเจ้าเสน่ห์ หมอตั้ม ธนพล -หมอต้น ตินน์-หมอโอ๊บ ธนดล จากโปรเจคท์ทีม หมอหล่อซีเนริโอ (Scenario The Artist Presents Doctor Ranger) ที่ปัจจุบันบางคนเริ่มมีผลงานลงจอให้แฟนๆ ได้ชมกันบ้างแล้ว ส่วนอีกหลายคนก็กำลังจะมีผลงานออกมาให้ได้ติดตามกัน นอกจากนี้ หมอตั้มและหมอต้นตินน์ ยังติด 1 ใน 10 The GQ Gentleman Search 2022 ที่กำลังเปิดโหวตรางวัล Popular Vote อยู่ในขณะนี้
และวันนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ 3 หนุ่มทีมซีเนริโอ นอกจากเรื่องงาน เรายังได้รู้จักตัวตนผ่านการพูดคุยในหลากหลายคำถามอีกด้วย
ชื่อเล่นแต่ละคนมาจากไหน มีความหมายอย่างไร
หมอต้นตินน์ : จริงๆ ตินน์เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาใหม่ครับผม ชื่อเดิมเป็นชื่อที่พระตั้งให้ แล้วก็วันที่ที่บ้านมีการแก้ไขเรื่องมรดกต่าง ๆ แล้วเปลี่ยนนามสกุลต่าง ๆ ก็เลยเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลหมดเลยครับ
หมอโอ๊บ : ชื่อโอ๊บนี่มาจาก น่าจะเป็นเพราะว่าเกิดเดือนสิงหาคม ช่วงนั้นน่าจะเป็นฝนตกด้วย พ่อก็เลยตั้งให้ชื่อโอ๊บ กบร้อง ตอนแรกพ่อจะตั้งชื่อว่า กบ แต่พ่อบอกว่ามันดูแอบมีอายุนิดหนึ่ง สมัยนั้น เขาก็เลยเปลี่ยนเป็นเสียงกบแล้วกัน โอ๊บๆ อะไรอย่างนี้
หมอตั้ม : ประวัตินี่บรรพบุรุษมีเชื้อสายจีน มีพี่ชายชื่อว่าตาต้า เป็นพี่ใหญ่ ผมเป็นน้องเล็กเลยชื่อว่า ตาตั้ม ตาตั้ม ไม่มีความหมาย แค่จะได้คล้องจองกันเฉยๆ
เป็นที่รู้จักในโซเชียลได้ยังไง
หมอโอ๊บ : เริ่มต้นออกรายการ คือซีนารีโอเขามีรายการชื่อว่า คุณหมอขาฉีดยาหนูหน่อย รายการนี้มีพิธีกรเป็นพี่อ๊อฟ ปองศักดิ์ กับพี่ปิงปองครับ ซึ่งเขาก็จะเอาหมอมาเป็นแขกรับเชิญ แล้วก็ทำกิจกรรมแล้วก็ให้หมอเลือกว่าอยากจะฉีดยาใคร อันนี้จุดเริ่มต้น หลังจากนั้นทางพี่เอ็ด ทางซีเนริโอเขาก็เห็นว่าพวกเราอาจจะมีศักยภาพในการพัฒนาต่อ ก็เลยตั้งเป็น Scenario The Artist ขึ้นมา แล้วก็คัดเลือกหมอ แล้วก็ศิลปินอื่นๆ มาเซ็นสัญญาเข้าสังกัด ประมาณนี้ครับ
ทีมหมอหล่อซีเนริโอ คืออะไร
หมอโอ๊บ : เริ่มต้นคิดว่าน่าจะเกิดจากว่า คือทางตัวซีเนริโอ เล็งเห็นว่าความเป็นหมอสามารถพัฒนาต่อได้ และในตลาดเรายังไม่ได้มีใครทำเรื่องของการ Add Value เรื่องของหมอที่จะมาทำ PR เพื่อเสริมคุณภาพของแบรนด์แต่ละแบรนด์ เลยก็กลายเป็นว่าเป็นตลาดใหม่ เป็นช่องทางใหม่ เพราะว่าเราเห็น Macro Influencer อยู่แล้วในตลาดเป็นดาราซีรีส์หรืออะไรอย่างนี้ แต่ว่ายังไม่มีกลุ่มหมอที่จะมาผลักดันให้กลายเป็นดาราหรือเป็นนักแสดงหรือเป็นผู้ที่มีบทบาท เช่น นักร้องหรืออะไรได้ ทางซีเนริโอเขาก็เลยคิดว่าน่าจะพัฒนาจุดนี้ครับ
หมอตาตั้ม: จริงครับ เหมือนทีม Avengers ของหมอเลยครับ
หมอโอ๊บ: ใช่ครับ ก็เลยคิดว่า บวกกับว่าการเป็นหมอมันก็มีความน่าเชื่อถือด้วย ก็เลยคิดว่าทางแบรนด์ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญความน่าเชื่อถือหรือว่าสายสุขภาพ เพราะว่าช่วงนี้เทรนด์สุขภาพกำลังมา เรื่องโควิดเรื่องอะไรในปีสองปีที่ผ่านมาครับ ก็เลยคิดว่าเป็น Value ที่ทางซีเนริโอ เห็นก็เลยอยากจะพัฒนาจุดนี้ ก็เลยกลายเป็นทีมหมอหล่อขึ้นมา
หมอต้นตินน์: อีกอย่างหนึ่ง ซีเนริโอก็มองเห็นว่า ตอนนี้เราเข้าถึงเรื่องการรักษามันยากขึ้น น่าจะมีตรงนี้แหละเข้ามาเพื่อทำให้การรักษามันดูน่าเข้าถึงง่ายมากยิ่งขึ้น แล้วก็มาบวกกับวงการบันเทิง มันทำให้ความหมอไม่ได้น่ากลัวไม่ได้น่าเบื่อเหมือนเมื่อก่อน
เคยคิดไหมว่าวันหนึ่งจะได้เข้ามาในวงการบันเทิง
หมอต้นตินน์ : เมื่อก่อนเคยมีตอนเป็นวัยรุ่นก็มีถ่ายโฆษณาค่อนข้างเยอะ แล้วก็มีช่วงหนึ่งที่เรากลับไปทำงานเป็นหมอเป็นอาจารย์ก็เลยห่างหายไป แล้วก็พอมีโปรเจคท์นี้เข้ามา ก็เลยรู้สึกว่าลองอีกสักครั้งหนึ่งแล้วกัน ก็รู้สึกว่าได้มุมมองอีกมุมหนึ่ง ได้ประสบการณ์ชีวิตที่ดีขึ้น ได้พัฒนาตัวเองมากขึ้นครับ
หมอโอ๊บ : ของโอ๊บ ไม่เคยเลยครับ ไม่เคยคิดเลย เหมือนเราก็คิดแต่ว่าเราจะเป็นหมอ ตอนนั้นก็คือ เพราะว่าแค่เราคิดว่าจะเป็นหมอมันก็เครียด หมายถึงมันมีภาระ มีความรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ว่าพอได้มาเริ่ม พอได้มาชิมลาง เรารู้สึกว่าเราชอบ อยากพัฒนาต่อ แต่ก่อนไม่เคยคิดเลยครับ
หมอตั้ม : ของผมเคยมีบ้างครับ เคยมีแมวมองมาติดต่อช่วงเด็กๆ แต่ผมบอกว่าขอเรียนจบแพทย์ก่อน ก็เลยไม่ได้วางแผนอะไรมาก
ฝึกพัฒนาตัวเองในด้านไหนบ้าง เรียนอะไรชอบมากที่สุด
หมอโอ๊บ : หลักๆ แล้ว คลาสก็จะเป็น Finding ก่อน ก็คือเหมือนเอาทุกคนมาแล้วมาหาว่าแต่ละคนชอบอะไร อันนี้เป็นคลาสสอนโดยคุณครู Acting ครูต้นดาว แล้วก็ครูเติ้ล ก็ค้นหาว่าแต่ละคนก่อนว่าชอบแนวไหน แล้วสมมุติอย่างโอ๊บชอบเรื่องของการแสดง ทางซีเนริโอ เขาก็ส่งไปเรียนต่อทางด้านนั้น อย่างบางคน มีคุณหมอในทีมคนหนึ่งเขาชอบเรื่องของการร้องเพลง ก็จะมีคุณครูร้องเพลงส่งไปเรียนต่อ
หมอต้นตินน์ : ของผม จริง ๆ แล้วของเรามีเรียนเดินแบบด้วย ถ่ายรูปกับแบรนด์สินค้าอะไรอย่างนี้ ก็รู้สึกว่า จริงๆ ก็ชอบเรื่องการแสดง ชอบมาก เพราะว่ามันเหมือนคุณครูเขาเก่งมาก เขาคลายปมในใจเราเมื่อ 10,20 ปีก่อน ที่เราแสดงถ่ายทอดความรู้สึกออกมา เหมือนมันมีบางเรื่องบางตอนที่เราจมกับสิ่งนั้น แล้วเราก็เหมือนคลายปลดล็อก มันทำให้ผมหลุดออกมาจากอดีต เราได้เป็นตัวเองมากยิ่งขึ้น
หมอโอ๊บ : สรุปก็คือว่าใครชอบด้านไหนก็จะซัพพอร์ตด้านนั้น อย่างเช่นเรื่องของเดินแบบ ก็ไปเรียนกับพี่ลูกเกด เมทินี เรามีคลาสของ Muse by Metinee ไปเรียนเดินแบบ ไปเรียนจับผลิตภัณฑ์
หมอตั้ม : ใช่ครับ ไปเรียนเดินแบบ เปลี่ยนชีวิตมาก เพราะปกติผมน่ะเดินแบบดีด ๆ เท้าแบบนี้ แล้วรองเท้าก็จะพังง่าย เรียกว่าช่วยมากเลยครับท่าทางดีขึ้น
การทำงานในวงการบันเทิงกับบทบาทความเป็นหมอ แตกต่างกันตรงไหนบ้าง
หมอต้นตินน์: โหเยอะมาก เพราะว่าจริง ๆ ตอนเป็นหมอนี่ตารางชีวิตเราจะเขียนไว้ค่อนข้างเป๊ะ แล้วพอเรามาเป็นนักแสดง มันกลายเป็นว่ามันจะมีความ Flexible มากยิ่งขึ้น แล้วก็อีกอย่างหนึ่งก็คือคนรู้จักเรามากยิ่งขึ้น พอคนรู้จักเรามากยิ่งขึ้นมันกลายเป็นว่า ทำให้เราต้องให้ความสนใจในการวางตัวต่างๆ แต่ผมก็ยังเหมือนเดิมครับ เพราะว่าตอนเป็นหมอเราก็จะเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง ค่อนข้างสุขุมนิ่ง ๆ พอเรามาอยู่ตรงนี้ก็ทำให้เราได้พูดคุยได้เจอผู้คนได้แลกเปลี่ยนทัศนคติต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ดีครับ
หมอโอ๊บ: ความแตกต่าง ก็นั่นแหละ เรื่องคิว คือหมอน่ะเวลาเราจัดตารางเราจัดข้ามเดือนเลยครับ ก็คือสมมุติว่าถึงกลางเดือนนี้เราจัดข้ามเดือนต่อไปเลย มีตารางชัดเจนเลยว่าวันนี้อยู่เวร วันนี้ไม่อยู่เวร แต่เรื่องของนักแสดงเป็นคิวที่ flexible มาก อย่างเช่น บางทีขอคิวไว้ แล้วบางทีเขาก็ยกเลิก ด้วยความคิวของหลายๆ คน เราไม่ใช่คนเดียวที่เป็นหนึ่งในนักแสดง อันนี้ก็เป็นอะไรที่เราต้องปรับตัว เพราะว่าการทำงานรูปแบบสไตล์มันคนละแบบ
อันที่ 2 คือเรื่องของการมีบทบาทมากขึ้น บางทีการทำอะไรเราก็ต้องคิดให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะว่ามันไม่ใช่สมัยก่อนแล้วคนจับต้องแค่นิดเดียว อันนี้เราทำอะไรก็ต้องคิดแล้วว่าคนจะมองเห็นยังไง ไม่ใช่แค่เพราะว่าเราเป็นหมออย่างเดียวแล้ว เราเป็นหมอแล้วก็มีเรื่องของพาร์ทนักแสดงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะฉะนั้นก็สำคัญครับ
หมอตั้ม : ถ้าเป็นโรงพยาบาลแผนกจะพบแต่ผู้ป่วย ถ้าได้ทำงานทางนี้ ได้พบกับผู้คนในชีวิตจริงด้วย ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้ความรู้เยอะแยะมากครับ
แบ่งเวลาดูแลตัวเองและออกกำลังกายกันยังไงบ้าง
หมอต้นตินน์: ของผมจริงๆ เพิ่งมาดูแลตัวเองได้ 2 ปีที่ผ่านมานี่เองครับ ก่อนหน้านี้เป็นอาจารย์แล้วงานมันหนักมาก แล้วตอนนั้นผมมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ปวดคอปวดหลัง ก็ปรึกษาคุณหมอกายภาพ เขาก็ส่งเทรนเนอร์มาให้เรา แล้วเราก็ได้ดูแลตัวเอง กลายเป็นว่าเมื่อก่อนผมไม่เคยมั่นใจในรูปร่างตัวเอง ก็กลายเป็นทำให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น แล้วก็กลายเป็นว่าทำให้เราชอบในการออกกำลังกาย สนุกไปกับมัน แต่อย่างผมก็จะอาทิตย์หนึ่งสองสามวัน ช่วงเช้า มันทำให้เรารู้สึกว่าเฟรชมากยิ่งขึ้น
หมอโอ๊บ: จริง ๆ โอ๊บว่าหมอเป็นกลุ่มอาชีพที่สุขภาพย่ำแย่ที่สุดแล้วครับ เพราะว่าแต่ละคนมันไม่ได้นอน อดหลับอดนอน แต่ว่าพอเริ่มแบ่งเวลาได้ เช่น ลดความเป็นหมอลง หรือว่าภาระหมอลดลง เราก็เหมือนมีเวลามากขึ้น นี่แหละคือเหตุผลที่ทำไมแต่ละคนถึงดูรักษาสุขภาพจังเลย เพราะเรารู้ไงว่าถ้าแย่แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างครับ
สไตล์การแต่งตัวของแต่ละคนเป็นอย่างไร
หมอต้นตินน์ : ของผมง่ายมาก เสื้อสีสีขาว กางเกงสีดำครับ
หมอโอ๊บ : ของผมจะมีชีวิตชีวาค่อนข้างชอบสีนั้นสีนี้ ถึงจะไปข้างนอกก็ค่อนข้างแต่งเยอะหน่อย
หมอตั้ม : ผมก็จะเป็นพวกบาสเกตบอลอะไรอย่างนี้ทั่วไป สายกีฬา
หายคนมองว่าหมอดูดีทุกอย่าง ช่วยบอกข้อเสียของตัวเองมาคนละข้อ
หมอต้นตินน์ : ข้อเสียของผม ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่พูดเบา แล้วก็เวลาทำงานเราจะพูดอย่างเต็มที่ แต่พอนอกเวลางานแล้วเราจะกลายเป็นคนที่ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจคนอื่น เพราะว่ารู้สึกว่าหมดแรงแล้ว เหนื่อยแล้ว แล้วก็ค่อนข้างจะไม่พูด เป็นคนดูเงียบ นิ่ง บางคนก็ชอบเข้าใจว่าไอ้นี่หยิ่ง ก็คิดว่าน่าจะเป็นรูปแบบนั้น
หมอโอ๊บ : ข้อเสียของโอ๊บ ขี้กลัวครับ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับหมอด้วยหรือเปล่า แต่ว่าเราจะขี้กลัว เช่น สมมุติถ้ามีงานใหม่ เราจะกลัว อย่างเช่นจะไปงานอีเวนต์ครั้งแรกเราจะกลัวไปหมดเลย เราต้องได้ซัพพอร์ตจากคนอื่นหรือว่าต้องมีเพื่อน ความกลัวเราจะลดลง ส่วนใหญ่เป็นคนขี้กลัว
หมอตั้ม : ของผมจะเป็นคล้ายๆ แบบ ความคิดจะหัวแล่นไปเรื่อยๆ บางทีหน้าจะดู แบลงค์ แบลงค์ แต่คิดไปอย่างอื่นไปนู่นไปนี่ครับ
กิจกรรมยามว่างของแต่ละคน
หมอต้นตินน์ : ของผมจะเป็น Introvert นิดหนึ่ง ถ้าได้ว่างปุ๊บก็คือเข้าป่า ไปทะเล ส่วนใหญ่ก็ถ้าไปป่าก็คือ ผมมีรถเป็น Camp car ครับ เป็นรถที่นอนในรถได้ แต่นอนได้แค่คนเดียวก็จะไปแค่คนเดียว ก็จะใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง เป็นประเภทนั้น
หมอโอ๊บ : ของผมก็จะออกตลอด ส่วนใหญ่จะไปคาเฟ่ มี art museum ที่ไหน ไปหมดครับ กลางคืนมีปาร์ตี้ที่ไหน บางทีก็จะไปร่วมงาน ไปเจอผู้คน ตอนนี้ว่างมากขึ้นก็เลยหยิบเอาไวโอลิน แต่ก่อนเล่นไวโอลินครับ ตอนประมาณ 5–6 ปีที่แล้ว แต่ว่าตอนนี้ลืม คืนครูไปหมดแล้ว แต่ตอนนี้พอดีว่ามันว่างก็เลยกำลังจะหยิบกลับมาเล่นอีกครั้งหนึ่ง
หมอตั้ม: ผมถ้าไม่นั่งดูฟุตบอลหรือบาสเกตบอล บางที 2–3 ชั่วโมงได้เลยนะ ต้องดูหนัง ถ้าไม่ดูหนังก็เป็นพวกฟิตเนส ว่ายน้ำ
อยากให้แต่ละคนแนะนำให้วิธีที่จะทำให้เราได้มีสุขภาพที่ดีขึ้น
หมอต้นตินน์ : จริงๆ ผมว่าเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน พยายามบาลานซ์ชีวิตให้มาก ของผมเมื่อก่อนไม่ได้บาลานซ์เลย ทำงานหนักอย่างเดียว แล้วก็ลืมการให้รางวัลตัวเอง พอผมออกมา ตอนนี้ทุกวันนี้ก็กลายเป็นว่าเราทำงานก็ทำเต็มที่ เที่ยวก็เที่ยวเต็มที่ อย่าลืมให้ความสุขกับตัวเองแล้วก็ให้คนที่บ้านด้วย เพราะมันสำคัญมากๆ ส่วนใหญ่หมอมักจะลืมให้ความสุขกับคนที่บ้านครับ น้อยคนที่จะโทรหาที่บ้าน
หมอตั้ม : คือมีคำญี่ปุ่นชื่อว่า อิคิไก หลักๆ เขาสอนหลายอย่างมากให้เป็นมินิมอล แล้วก็การกิน กินให้อิ่ม 70% แล้วพอ เพราะอีก 30% นี่เดี๋ยวจะค่อยๆ อิ่ม พอรู้สึกอิ่มแล้วให้หยุดพอ แล้วเรากำลังย่อยอยู่ แต่บางทีเราต้องกินให้หมด ตักให้พอตัว จะช่วยได้ครับ
หมอโอ๊บ : เอาจริง ๆ โอ๊บไม่ใช่สายสุขภาพขนาดนั้น หมายถึงว่าโอ๊บน่ะถ้าเป็นหมอ โอ๊บจะไม่ใช่สายแบบว่า แบบว่าคุณเป็นเบาหวานคุณต้องห้ามกินน้ำตาลเลยหรือว่าอะไรขนาดนั้น แต่เราเอาทุกอย่างให้มันพอดี โอ๊บว่าอะไรที่เยอะเกินก็ไม่ดี มันต้องบาลานซ์ทั้งสุขภาพและความสุข บางทีเรามีสุขภาพดี บางคนไปวิ่งมาราธอนทุกวัน กดดันตัวเองแล้วไม่มีความสุข โอ๊บว่ามันก็ไม่มีประโยชน์ โอ๊บคิดว่าความสุขก็สำคัญ ความสุขมันน่าจะต้องไปคู่กันกับสุขภาพครับ
มุมองความรักของแต่ละคน
หมอต้นตินน์: มุมมองความรักของผมเหรอครับ ส่วนใหญ่แล้วก่อนจะรักใครต้องรักตัวเองให้เป็นก่อน (หัวเราะ) คือถ้าบางทีเรารักคนอื่นเกินไปจนลืมมองตัวเอง ก็จะทำให้รู้สึกว่ามันไม่มีความสุข แล้วก็ การที่มีความรักผมว่าดีนะ ผมก็ชอบนะ เพราะว่ามันมีการได้พูดคุย มีการได้แลกเปลี่ยน มันเหมือนกับว่าเรากล้าที่จะบอกคนคนหนึ่ง กล้าจะระบายความรู้สึกต่าง ๆ ไม่มีความลับต่อกัน
หมอโอ๊บ: สำหรับอ๊บ ความรักของอ๊บก็คือใครก็ได้ หรือว่าใครที่ทำให้เราสามารถได้เป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด แล้วก็ความรักสำหรับอ๊บก็เหมือนจิ๊กซอว์ หมายถึงว่าจิ๊กซอว์ 2 อัน บางทีมันอาจจะไม่ได้เข้ากันแมตช์คลิกล็อกกันได้ตั้งแต่ต้น แต่ว่าก็เรียนรู้กันไปเรื่อย ๆ มันอาจจะมาล็อกกันในสุดท้าย แต่จริง ๆ ก็ต้องรักตัวเองก่อนน่ะแหละ
หมอตั้ม: ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามครับ (หัวเราะ) Give and take ครับ ให้เขา แล้วเขาก็ให้เรามา มีหลากหลายรูปแบบ ครอบครัว เพื่อน พ่อแม่พี่น้อง ครับ
เคยมีคนมาจีบด้วยวิธีแปลกๆ บ้างหรือเปล่า
หมอโอ๊บ: ผมไม่มีครับ ผมทั่วไปเลย
หมอต้นตินน์: ของผมมี แต่อันนี้เพื่อนบอกมา เขาก็จะมาทำฟันกับผม เขาก็กลัวว่าเดี๋ยวมาเจอผมแล้วกลัวว่าเราเห็นสุขภาพช่องฟันเขา เขาก็แอบไปนัดทำกับเพื่อนผมก่อน แล้วเพื่อนก็ถามว่าทำไมถึงมาทำฟัน เขาบอกเดี๋ยวจะไปเจอหมอต้น เลยมาเคลียร์ก่อน เพื่อนก็เลยมาเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่ง
หมอตั้ม: มาแบบในช่อง DM ได้ไหม วิดีโอคอลมาก็ดี ตอนนั้นไม่รู้ ง่วงๆ เผลอรับไป (หัวเราะ) เปิดช่วงล่างให้ดู
วางแผนในอนาคตไว้ยังไงกันบ้าง ทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว
หมอโอ๊บ : สำหรับผม ผมอยากให้มันเป็นงานที่ไปควบคู่กันและเสริมกัน เพราะว่าก่อนนี้ผมเรียนเฉพาะด้านหัวใจ แต่ว่าลาออกมาด้านผิวหน้าครับ เพราะว่าตอนที่เรียนเฉพาะทางมันไม่มีเวลามาทางด้านนี้เลย ตอนนี้ก็เลยเหมือนแบ่งเวลาทั้ง 2 ด้าน เดินทางไปควบคู่กันซัพพอร์ตกัน เรายังมีเวลา อาจจะไปรับงานทางฟากฝั่งทางงานแสดงอยู่ ก็มีเวลาเรียนทั้ง 2 ด้านครับ เรียนทางด้านฉีดหน้าหรืออะไรเราก็เรียนเพิ่มได้ ทางด้านการแสดงเราก็ยังเรียนเพิ่มอยู่ ก็เลยคิดว่าถ้ามองในอนาคตก็คืออยากให้มันเป็นคู่กันไปทั้ง 2 ด้าน เพราะว่าเราก็ไม่ได้อยากทิ้งวิชาชีพแพทย์ มันก็เป็นวิชาชีพที่เราทำแล้วเราชอบครับ
หมอต้นตินน์ : ของผมก็ตอนนี้กำลังจะเปิดคลินิกของตัวเอง แล้วก็หุ้นกับเพื่อน แล้วก็น่าจะทำควบคู่กันไป แล้วก็คลินิกจะเป็นเกี่ยวกับการทำฟัน การออกแบบรอยยิ้มด้วยวีเนียร์ ก็รู้สึกว่ามันได้เอาตัวนี้มาใช้งานด้วย แต่ว่ามันก็ทำให้เราแบ่งเวลาได้ง่ายยิ่งขึ้นพอเรามีคลินิกเป็นของตัวเอง ก็มีคุณหมอต่าง ๆ เข้ามาทำกับเราเยอะมากยิ่งขึ้น แล้วเวลาเรามาเจอผู้คนมากๆ เหมือนกับเราเจอคนในวงการบันเทิง เราก็จะได้รู้ว่าความต้องการของเขาเป็นแบบไหน เราก็เอาไปปรับใช้กับชีวิตของเราได้ กับคนที่มาทำฟันกับเราได้
หมอตั้ม: มีคลินิกเป็นพวกคลินิกเลเซอร์แล้วก็จะเปิดร้านอาหาร ฝากร้านเลยนะครับ ทองหล่อซอย 13 นะครับ ชื่อร้าน Timeless Garden Rooftop เป็นแฟรนไชส์ครับ
1 ใน 10 The GQ Gentleman Search 2022
หมอต้นตินน์ : จริง ๆ GQ คำว่า Gentlemen GQ ตัวนี้มันไม่ได้แปลว่าเป็นแค่เพศชายแค่เพศเดียว ทุกคนมีความเป็น Gentleman อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนครับ แล้วก็พวกผมก็จะเป็นตัวแทนในการสื่อความเป็นตัวตนของตัวเองในการใช้ชีวิตออกมา ว่า 10 คนนี้มีไลฟ์สไตล์แบบไหน แล้วก็สามารถจะเป็น Gentleman เป็น GQ ได้ ก็ฝากติดตาม ตอนนี้ก็มีช่องทางการโหวต ให้กำลังใจพวกผม 2 คนได้ จริงๆ ก็ให้เพื่อนอีก 10 คนก็ได้ครับ ผมเบอร์ 1 ครับผม
หมอตั้ม: ไปติดตามได้ ทุกคนน่าสนใจมากนะครับ โดยเฉพาะเบอร์ 1 กับเบอร์ 5
ผลงานตอนนี้และในอนาคต
หมอโอ๊บ : ของโอ๊บตอนนี้มีซีรีส์เกี่ยวกับ Medical Drama เกี่ยวกับคุณหมอที่อยู่ในห้องฉุกเฉินครับ โอ๊บเล่นเป็นหมอแก๊ป ก็คือเป็นหนึ่งในทีมหมอครับ เป็นรุ่นน้องของหมอตินอีกทีหนึ่ง เส้นเรื่องของผมก็จะมีเรื่องความสัมพันธ์กับพี่หมอคนหนึ่งแล้วก็มีเหตุผลต่างๆ ให้เข้าไปติดตามต่อในซีรีส์ ตอนนี้ออนแอร์อยู่ 3 ช่องทางครับ หนึ่งคือ AIS Play อีกช่องหนึ่งคือช่อง 3 อย่างที่สามคือ Youtube Streaming AIS ทุกวันจันทร์เวลา 5 ทุ่มครับ
หมอตั้ม : สำหรับผมตอนนี้มีประกวด GQ Men 2022 ครับ ฝากเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
หมอต้นตินน์ : ผมก็เหมือนกัน (หัวเราะ) แล้วก็กำลังจะเปิดคลินิกของตัวเองครับ
หมอโอ๊บ : ทั้งหมดเลย ฝากทีมของเรา Scenario The Artist นะครับ เราไม่ได้มีแค่หมออย่างเดียวนะครับ ยังมีนักแสดง มีนักร้อง ตอนนี้คือเป็นช่วงฟูมฟักเพราะว่าเราเพิ่งเริ่ม เมื่อวานครบรอบโอ๊บเซ็นสัญญา 1 ปี แต่ว่าหลังจากนี้จะมีผลงาน ปล่อยมาตามความชอบหรือตามความสามารถของแต่ละคน ให้ติดตามเรื่อยๆ ผ่านทาง Instagram Scenario The Artist ครับ