รู้จัก เบิร์ท มานิตย์ นักเทรดหุ้นฟูลไทม์ จากพนักงานประจำสู่เจ้าของพอร์ต 9 หลัก
พระเอ็มวี นายแบบ ย้อนเวลากลับไปสัก 10 ปี เชื่อว่าคงเป็นอาชีพที่หลายคนอยากเข้ามาสัมผัส แต่หากได้ลองแล้วไม่ใช่ก็ไม่ฝืน เบิร์ท-มานิตย์ ศรายุทธิกรณ์ คือพระเอกเอ็มวีและนายแบบที่หลายคนอยากรู้จักในช่วงเวลานั้น แต่เพราะได้ลองแล้วไม่ใช่จึงค่อยๆ เฟดตัวออกจากวงการบันเทิง หันไปการทุ่มเวลาให้กับการเรียนกฎหมายจนจบปริญญาโทได้ใบอนุญาตว่าความ ทำงานบนทางสายนี้ยาวนานถึง 6 ปี และเพราะสังเกตร่างกายเริ่มทรุดโทรม ผมร่วง อ่อนแอลงมาก ประกอบกับช่วงนั้นเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุน เขาจึงตัดสินใจลาออก เบนเข็มมุ่งหน้าสู่การเป็น “นักเทรดหุ้นฟูลไทม์”
สำหรับ เบิร์ท มานิตย์ ปัจจุบันอายุ 37 ปี ถือเป็นอีกหนึ่งคนที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางสายอาชีพนี้ ซึ่งนอกจากเป็นนักเทรดหุ้นฟูลไทม์ เขายังเป็นเจ้าของแฟนเพจ Bert Manit ที่ให้ข้อมูลเรื่องการลงทุนต่างๆ และนักเขียนอิสระด้านการเงินอีกด้วย
ตอนเด็กๆ คุณสนใจงานด้านไหน
ถ้าเด็กๆ ชอบงานเป็นด้านทนายหรือด้านกฎหมาย เพราะตอนนั้นก็ดูหนังเยอะ เห็นพระเอกฮอลลีวูดมักจะได้รับบททนายความ อย่างเช่น Brad Pitt, Tom Cruise หรือว่า Keanu Reeves สมัยนั้นนะครับ เราก็เลยรู้สึกว่าอาชีพนี้มันเป็นอาชีพที่ดูเก่ง เลยอยากจะเป็นแบบนั้น ก็เลยเลือกเรียนนิติศาสตร์ไปในช่วงเอนทรานซ์เมื่อตอนอายุ 18 ปี
ทำงานกฎหมายมา 6 ปี ทำไมถึงลาออก
จบกฎหมายได้วุฒิปริญญาโทจุฬา แล้วก็เนติบัณฑิต แล้วก็ใบอนุญาตว่าความ ทำอยู่ประมาณ 5–6 ปี มันมีวันหนึ่งตอนนั้นอายุ 27–28 เห็นว่าผมร่วง ผมหงอก รู้สึกว่าทำไมร่างกายมันทรุดเร็วจัง เรายังอายุเท่านี้อยู่เลย หรืองานมันโหลดไป เพราะอ่านหนังสือเยอะ ท่องหนังสือ ท่องตำรา ทำงานดึก ก็เลยรู้สึกว่าอยากจะเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน
ตัดสินใจลาออกยากไหม
ตอนนั้นเงินเดือนล่าสุดประมาณ 70,000 เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ตอนนั้นก็เริ่มลงทุนแล้ว พอเริ่มลงทุนมีรายได้อีกทางหนึ่ง แล้วทำไปทำมารู้สึกว่าถูกโฉลกกับการลงทุนมากกว่า เลยคิดว่าว่า หรือว่าบางทีเราอาจจะออกมาด้านนี้ พอมันเริ่มมีรายได้พิเศษจากการลงทุน 20,000 -30,000 ก็เริ่มเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนรู้สึกว่า ถ้าเราออกไป เราน่าจะทำได้มากกว่าเงินเดือนประจำที่ได้รับอยู่
เล่นหุ้นตั้งแต่ช่วงไหน เข้ามาได้ยังไง
เข้ามาเล่นหุ้นก็เป็นช่วงทำงานท้ายๆ พอดีนั่งประชุมในห้องกับเพื่อน เห็นเพื่อนกดโทรศัพท์แล้วร้องเฮดีใจได้เงิน เราก็นึกว่าเล่นเกมหรือเล่นพนันอะไรหรือเปล่า เขาบอกว่า เล่นหุ้น แค่โหลดแอปฯ แล้วก็เปิดบัญชีฝากเงินก็ได้เลย ก็เลยทำบ้าง ไปเปิดโบรกกับเพื่อนแล้วก็ฝากเงินแล้วก็เทรด ตอนแรกก็ใส่เงินไป 1 แสน วันต่อมากำไรมา 20,000 ก็ตกใจ เฮ้ยมันได้จริงๆ ก็เลยรู้สึกว่าอยากจะลองศึกษาจริงจังแล้วก็ทุ่มเทด้านนี้ดู เหมือนอยากจะต่อยอดมีรายได้เสริมในช่วงแรกครับ
ลาออกจากงานประจำ ทางครอบครัวว่ายังไงบ้าง
ตอนนั้นก็มีคุณแม่ คุณแม่เขาก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร เพราะว่าเขารู้สึกว่ามันก็มีความเสี่ยง เพราะว่าเขาก็เคยผ่านวิกฤตต้มยำกุ้งมา เห็นการลงของตลาดที่มันรวดเร็วมาก แล้วก็เห็นบริษัทล้มละลายจำนวนมากในช่วงวิกฤต ตลาดหุ้นคนก็แทบจะเจ๊งระเนระนาด เขาก็เลยเตือนๆ คำเตือนเขาเราเอามาวางแผน ศึกษาข้อมูล ศึกษาอดีต ศึกษาประวัติศาสตร์ เราจะมีแผนรับมือยังไง ประมาณนี้ ก็อธิบายให้เขาเข้าใจในระดับหนึ่ง แต่ตอนแรกก็ต้องไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ในมุมมองของคนเป็นแม่เขาก็เป็นห่วง เหมือนช่วงแรกๆ 2 ปีแรก เขาก็พยายาม อยากให้ทำอย่างอื่นด้วย แต่เราก็ยังมุ่งมั่นอยู่
อาชีพนักเทรดหุ้นยากไหม ข่าวสารต่างๆ ศึกษาจากตรงไหน
ก็ยากเหมือนกัน เพราะว่าพอเราออกมาเป็นนักลงทุนอิสระแล้ว มันจะไม่มีหัวหน้างานคอยส่งงาน คอยปรึกษา ลูกน้องก็ไม่มี คู่ค้าเวลาเราต้องไปประชุมก็ไม่มี เหมือนเราต้องจัดการเองทุกอย่าง ต้องสร้างเองทั้งหมด ต้องหาความรู้เพิ่มเติม ศึกษาเพิ่มเติม ทุกอย่างก็จัดตารางเอง ว่าต้องอ่านหนังสือยังไง ต้องศึกษายังไง ต้องไปเรียนกับใคร ต้องหาความรู้จากไหน เหมือนค้นคว้าเองเกือบตลอด ต้องคุมตัวเองให้ได้ วินัยสำคัญเราจะต้องวางแผน วันหนึ่งเราจะทำอะไรบ้าง สัปดาห์หนึ่งเราจะทำอะไรบ้าง
ในแง่ของจิตใจ ต้องเตรียมใจอย่างไร
ก็ต้องบอกก่อนว่า การลงทุนการเทรดมันก็เหมือนการทำธุรกิจอย่างหนึ่ง ถ้าเราไปดูตัวอย่างของคนทำธุรกิจ เขาก็ต้องมีจังหวะที่ตัดสินใจพลาดบ้าง ลงทุนพลาดบ้าง เปิดบริษัทลูกที่ไม่ค่อยดีบ้าง มันก็เป็นปกติ แต่พอผิดแล้ว เราจะต้องผิดให้น้อย แล้วเวลาถูกนะถูกให้เยอะ เราต้องมองว่า ไม่ว่าจะทำอย่างอื่น ทำงานหรือทำธุรกิจ มันก็มีโอกาสผิดพลาดเหมือนกัน การลงทุนมันก็มีโอกาสผิดพลาด แล้วมันจะเห็นผลเร็วกว่า เพราะว่าตัวเลขมันเรียลไทม์พอผิดพลาดปุ๊บก็ต้องรู้จักคำว่าแพ้ แล้วก็ยอมตัดขาดทุน เพื่อไปโฟกัสกับการเทรดที่ถูกต้องครับ
จะลงทุนในหุ้นสัก 1 ตัว ดูอะไรบ้าง
ดูพื้นฐานหุ้นควรที่จะดีมีกำไร รายได้โต อันนี้ก็คือพื้นฐานหุ้นข้อแรก ข้อ 2 ดูตัวผู้นำ ผู้นำคือ CEO ประธานกรรมการ ผู้บริหาร วิสัยทัศน์ดี แก้ปัญหาได้ อันนี้ก็สำคัญ เพราะว่าถ้าธุรกิจเขาเจออะไรเขาแก้ปัญหาได้ องค์กรเขาก็จะมีรายได้กำไรเติบโตไปเอง แล้วอีกข้อหนึ่งอาจจะดูผู้ถือหุ้น รายชื่อผู้ถือหุ้น ถ้าผู้ถือหุ้นเขาไม่ขายหุ้นออกมาเลย 70–80% แปลว่าหุ้นตัวนี้ดี แต่ถ้าเกิดหุ้นตัวนี้เหลืออยู่ในกลุ่มเจ้าของ 30% อีก 70% ขายทิ้งหมด แปลว่าหุ้นตัวนี้มันก็อาจจะไม่ดีเท่าไร ขนาดเจ้าของนายทุนเขายังถือกันน้อยเลย
สำหรับคนที่อยากจะทำอาชีพนี้ ควรจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
ต้องบอกก่อนว่า อาชีพนี้มันไม่จำเป็นต้องเป็นพรสวรรค์ แต่อาจจะต้องมีในเรื่องของวินัย เพราะว่าอย่างที่บอกว่างานนี้เราอิสระ ไม่ได้มีตำราเขียนว่า ออกมาต้องทำอย่างนี้ๆ มันเหมือนเราต้องสร้างขึ้นมาเอง อาจจะต้องรับได้ว่าวัฏจักรของตลาดทุนต่างๆ มันมีขึ้นมีลง มี Side way มันมีช่วง High season, Low season เหมือนกัน ก็ต้องรับให้ได้ว่า Low season จะต้องรอนะ High season ก็ต้องเอาเต็มที่ครับ
ปีนี้และอีก 2-3 ปี ข้างหน้า ควรจะลงทุนในอะไรดี
ปีนี้ยังมองน้ำมันเป็นขาขึ้นอยู่ อันนี้ดูจากกราฟเทคนิคนะครับ ตัวราคาดัชนีน้ำมันลง ขาขึ้น ถึงแม้จะมีเรื่อง EV Charger เข้ามา แต่ว่าปีนี้น้ำมันคิดว่า น้ำมันยังได้อยู่ แล้วก็ส่วนอีกธุรกิจหนึ่งก็อาจจะเป็นธุรกิจท่องเที่ยว เพราะว่าเดิมนี่ประเทศไทยเป็นประเทศท่องเที่ยว รายได้ GDP ของประชาชนก็มาจากท่องเที่ยวเยอะ แล้วตอนนี้โควิดมันก็คลี่คลายแล้ว คิดว่ากลุ่มท่องเที่ยวก็น่าจะมีรายได้มีกำไรกลับมาในข้อแรก แล้วข้อ 2 ก็มีโอกาสที่จะได้รับการส่งเสริมจากทางรัฐบาล ว่าสิ่งที่เขาขาดไป 2 ปีนี่มันควรจะได้รับการชดเชย การเร่งในระดับหนึ่ง กับท่องเที่ยวโรงแรมก็น่าจะได้รับอานิสงค์ในจุดนี้
อะไรจะทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จในการลงทุน
ก็อาจจะต้องใช้คุณลักษณะ 2 อย่างที่ชัดๆ ต้องอดทนกว่าคนอื่น อดทนก็แปลว่า บนสนามการลงทุน สนามการเทรด มันก็เหมือนการแข่งรถ การแข่งกีฬา มันก็อาจจะมีน็อคบ้าง มีเครื่องยนต์ต้องพักบ้าง แต่ว่าระยะยาวเราจะต้องอดทนให้ได้ อดทนต่อความผิดพลาด อดทนต่อการที่ต้องรอ บางทีเราซื้อหุ้นแล้วมันไม่ได้ขึ้นทันที ก็ต้องรอให้ได้ Warren Buffett ที่เป็นนักลงทุน Value investor ระดับโลก เขาก็บอกเรื่องนี้เหมือนกัน ว่าสิ่งสำคัญที่นักลงทุนที่จะตลาดได้ต้องมีก็คือเรื่องของการอดทน
อีกเรื่องหนึ่งก็อาจจะเป็นเรื่องของโฟกัส เหมือนมันเป็นสิ่งที่เราอยากจะชนะ เราก็ต้องเหมือนเน้น เน้นยังไง ก็อาจจะหาข้อมูลเยอะ อยู่กับมัน มีสมองคิดเรื่องนี้ตลอด เหมือนอยู่กับเรื่องนี้ให้เยอะๆ 24 ชั่วโมงอาจจะตื่นมาก็คิด ทำนู่นทำนี่ก็คิด แต่ต้องคิดแบบว่าแฮปปี้มีความสุข เราจะไม่คิดแบบรู้สึกแย่ แบบว่าเฮ้ย จะเอายังไงดี จะหมดแล้ว จะขาดทุนอยู่แล้ว ไม่ใช่ ต้องคิดว่าจะแก้ปัญหายังไง จะหาหุ้นดีๆ ยังไง
เรื่องของความเชื่อก็สำคัญ ความเชื่อก็คือ เราต้องเชื่อก่อนว่าเราจะเป็นชนะตลาดครับ ประสบความสำเร็จในด้านนี้ได้ พอแก่นเรามันได้แล้ว มันก็จะดึงดูดอะไรหลายๆ อย่างเข้ามา การกระทำ การทำการบ้าน การเดินไปคุยกับใครก็ตาม มันก็จะรันตามระบบความคิดของเรา แล้วพอมีโอกาสมา เราเชื่อว่าเราทำได้มันก็พร้อมที่จะแอ็คชัน อย่างโควิดก็ตาม หรือเวลาหุ้นจะเบรก เราพร้อม เพราะเราเชื่อว่าเราจะชนะ พอมีโอกาสมีจังหวะเราก็พร้อมสำหรับทุกอย่าง
ความน่ากลัวของการลงทุนในตลาดหุ้นคืออะไร
หุ้นมันก็มีวัฏจักร มีวิกฤต มีข่าวร้ายเข้ามาแทรกตลอด อย่างเช่นปีนี้เราก็จะเจอ 2 เรื่อง ต้นปีก็จะเป็นเรื่องสงครามรัสเซีย ยูเครน ช่วงที่ผ่านมาก็จะมีเรื่องของความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ หุ้นก็ลง หรือมันจะมีเหรียญที่ลงหนักๆ ถามว่าเราก็ต้องระมัดระวังแล้วก็พร้อมว่า มันก็มีโอกาสเกิดอย่างนี้ตลอด เรามีโอกาสที่จะผิดพลาดตลอด แล้วก็ต้องตัดขาดทุน ต้องยอมมอบตัวในบางเกม เราอย่าไปคิดว่าเราชัวร์แล้ว ชนะแล้ว อันนั้นก็คือจุดที่เสี่ยงที่สุด มันไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ มีแต่โอกาสดีที่สุด เราจะวิเคราะห์ก็ต้องเผื่อความผิดพลาดไว้ แล้วก็ต้องรู้จักมอบตัวให้เร็ว โดนให้ไม่เยอะ
ทุกวันนี้มองว่าประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง
คิดว่าอยู่รอดแล้ว คิดว่ายังไงก็ไม่ไปหาอย่างอื่นทำแล้ว ประสบความสำเร็จก็คิดว่าอยู่กลางๆ มากกว่า ยังมีตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จที่ผมอยากจะตามไปหรือว่าลอกเลียนแบบอีกพอสมควร ก็อยู่ในช่วงของการอยู่รอด เป็นสเต็ป Survivor แล้วกันครับ
8 ปีในอาชีพนี้ มันสอนหรือให้บทเรียนอะไรบ้าง
สอนทุกอย่างเลยครับ ว่ามันก็เหมือนวัฏจักรของหุ้น มันก็มีขึ้นมีลง เหมือนเราก็เจอ ก็อาจจะเจอช่วงที่ดีสุดๆ High season กำไรมากๆ แต่มันก็มีช่วงที่โดนหนักก็มี หรือมีช่วงที่ติดอยู่ไม่ไปไหน จะบวกลบอยู่กับที่ มันก็เจอหลายๆ อย่าง แล้วรวมถึงเพื่อนๆ ที่เข้ามาก็เจอหลายรูปแบบ
เป้าหมายของการทำงาน และเป้าหมายในชีวิตระยะยาว
เรื่องงานปัจจุบันก็ยังสนุกอยู่ แล้วก็คงเอาดีทางด้านนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะพัฒนาให้ได้มากที่สุด การวิเคราะห์ข้อมูล การจดบันทึก การดู Performance ตัวเองที่มันดีขึ้น แฮปปี้เวลาเราเห็นผลงานของตัวเองดีขึ้น ทุกวันนี้ก็ยังคงเอ็นจอยประมาณนี้อยู่ ก็ยังไม่เรียกว่า Passive Income ก็ยังเป็น Active Income เป็นรายได้ที่เราจะต้องมีการกระทำเพื่อให้ได้มา ส่วนอนาคตก็คงมองเป็นเรื่องของ Passive Income ก็คือเงินที่มันไหลเข้ามาโดยที่ไม่ต้องทำอะไร ก็อาจจะเอากำไรจากหุ้นพวกนี้ไปลงในหุ้นปันผลเพื่อถือระยะยาว แล้วก็เอาปันผลที่ได้มาจากหุ้นพวกนี้ หุ้นพื้นฐานเหล่านี้ในแต่ละปีเลี้ยงชีวิต ใช้ชีวิตได้ เราก็อาจจะสบายมากขึ้น เพื่อมีเวลาไปทำอย่างอื่น อาจจะดูแลครอบครัว หรือว่าไปออกกำลังกาย ไปเที่ยวมากขึ้น
สำหรับคนที่อยากลงทุนในตลาดหุ้น เบิร์ท มานิตย์ กล่าวทิ้งทายว่า "ตอนเริ่มต้นอาจจะคิดว่าเป็นรายได้เสริมก่อน อย่าเพิ่งตั้งเป้าเป็นรายได้หลัก มันจะยากเกิน เอาแค่เป็นรายได้เสริมประกอบกับสิ่งที่เราทำอยู่หรือทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย แล้วถ้าเกิดถึงวันหนึ่งรู้สึกว่ามันดี มันเหมาะกับตัวเรา ก็ค่อยขยับขึ้นมาเป็นรายได้หลัก ส่วนพอมาแล้วก็ต้องยอมรับว่ามันมีวัฏจักรอยู่ มี High season มี Low season มีช่วงเวลาที่ดี มีช่วงที่อาจจะไม่ดี"