ทำไมชีวิตเราจึงต้องพึ่งวิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนชีวิตเราไปข้างหน้าและทำให้โลกของเรามาได้ไกลขนาดนี้ คือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งองค์ความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการประมวลผลอย่างสร้างสรรค์ เกิดเป็นนวัตกรรมสุดน่าทึ่งมากมายแก่สายตาชาวโลก อย่างไรก็ดี วิทยาศาสตร์ไม่ได้จับต้องได้ผ่านนวัตกรรมที่ทันสมัยเหล่านั้นเท่านั้น แต่ชีวิตประจำวันของเราทุกคนล้วนแล้วแต่พึ่งวิทยาศาสตร์ด้วยกันทั้งสิ้น ตั้งแต่เกิดยันตาย และตั้งแต่หลับยันตื่น แต่ทำไมชีวิตเราจึงต้องพึ่งวิทยาศาสตร์มากขนาดนี้
วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัวและอยู่รอบตัว
เมื่อพูดถึงวิทยาศาสตร์ ภาพจำของคนทั่วไปคือเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา มันดูเป็นเรื่องทางวิชาการ มีสูตรคำนวณ ยาก ไกลตัว แต่จริง ๆ แล้ววิทยาศาสตร์มันง่ายกว่านั้นมาก เพราะทุกอย่างรอบตัวเราล้วนแล้วแต่เป็นวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น อาหารที่เรากินทุกอย่างมีโครงสร้างทางเคมี บ้าน คอนโดสูง ๆ จะสร้างให้แข็งแรงมั่นคงต้องมีการคำนวณทางวิศวกรรมศาสตร์ แผ่นดินที่เราเหยียบ น้ำที่เราดื่ม อากาศที่เราหายใจ หรือแม้แต่ร่างกายของเราเอง การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่การปฏิสนธิในครรภ์มารดาไปจนถึงการเน่าเปื่อยหลังเสียชีวิต พวกนี้ก็เป็นวิทยาศาสตร์ รวมถึงกระบวนการคิดของมนุษย์ที่มีตรรกะ ความมีเหตุมีผล พฤติกรรมต่าง ๆ ที่คนเราแสดงออกก็เป็นวิทยาศาสตร์
การใช้ชีวิตประจำวันของเราทุกคนล้วนพึ่งพาวิทยาศาสตร์เป็นกลไกในการดำเนินชีวิตอยู่ตลอดเวลาโดยที่เราก็ไม่รู้ตัว เพราะมันอยู่รอบตัวและใกล้ตัวกับเรามากจนเราไม่ทันพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันคือวิทยาศาสตร์ การที่เราเดินเท้าติดพื้น ไม่ล่องลอยไปชนนั่นชนนี่เพราะโลกมีแรงโน้มถ่วง การยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มต้องใช้แรง รองเท้าที่ไม่มีดอกยางทำให้ลื่น ซึ่งดอกยางมีไว้เพื่อเพิ่มแรงเสียดทาน รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่ทันสมัย นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ก็เกิดขึ้นมาจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น วิทยาศาสตร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่เคยเข้าใจ
พัฒนาคุณภาพชีวิตเราให้สุขสบายกว่าที่เคย
นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบัน มีจุดเริ่มต้นมาจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เรามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แม้ว่าโบราณกาลจะไม่มีใครนิยามว่ามันคือวิทยาศาสตร์ แต่ด้วยการเรียนรู้ของมนุษย์ในยุคนั้นที่ใช้ภูมิปัญญาลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อเอาตัวรอด กลายเป็นองค์ความรู้นำไปต่อยอด ซึ่งไม่ใช่แค่ให้มนุษย์มีชีวิตรอดตามสัญชาตญาณ แต่เพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สะดวกสบายขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่ามนุษย์ดึกดำบรรพ์เคยใช้ใบไม้และหนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่ม ปกปิดร่างกายจากความหนาวเย็น การกระแทก และปิดอวัยวะสงวน ก่อนกลายมาเป็นเสื้อผ้า และมีอุปกรณ์ที่คิดค้นขึ้นเพื่อใช้ซักผ้า โดยทุกวันนี้เราไม่ต้องซักมือเอง
วิทยาศาสตร์มีผลทำให้ชีวิตของมนุษย์เรามีความสะดวกสบายแบบไม่มีหยุดยั้ง ของที่เคยสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เมื่อกาลเวลาผ่านไป มันก็มีวิวัฒนาการเพื่อให้มนุษย์ใช้งานมันได้สะดวกขึ้น เช่น ในอดีตมนุษย์ต้องอยู่ท่ามกลางความมืดในเวลากลางคืน ก่อนที่จะเรียนรู้ว่าแรงเสียดสีทำให้เกิดประกายไฟ จึงก่อกองไฟขึ้นมาโดยใช้หินมาถูกัน หลังจากนั้นโลกนี้มีไม้ขีดไฟ ไฟแช็ก ตะเกียง และไฟฟ้า กระทั่งทุกวันนี้เราสามารถเปิดไฟในบ้านได้โดยไม่ต้องเปิดเอง แค่ใช้คำสั่งเสียงหรือรอให้เลเซอร์จับความเคลื่อนไหวได้ก็พอ นี่แหละวิทยาศาสตร์ทำให้เราสะดวกสบาย
วิทยาศาสตร์กับการก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และพัฒนาจะไม่สิ้นสุดอยู่เพียงเท่านี้อย่างแน่นอน ตราบใดที่โลกยังไม่หยุดหมุน บรรดานักวิทยาศาสตร์และนักพัฒนาทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ต่างก็กระหายที่จะสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาให้โลกได้รู้จัก ในอนาคตเรามีโอกาสที่จะได้เห็นสิ่งประดิษฐ์แปลก ๆ ชนิดที่คาดไม่ถึงว่าจะมีใครประดิษฐ์มันขึ้นมาบนโลกใบนี้ ดังเช่นหุ่นยนต์ที่ให้บริการเสิร์ฟอาหารในร้านอาหารชื่อดังหลายร้านที่เราเห็นกันได้ทั่วไปในปัจจุบัน ถ้าหากย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน ลูกค้าทั่ว ๆ ไปอย่างเราคงไม่คิดหรอกว่า 20 ปีต่อมาจะมีเจ้าหุ่นยนต์หน้าตาแปลก ๆ แบบนี้เดินไปเดินมาทั่วร้านอาหารเพื่อให้บริการลูกค้า แต่มันกลับเป็นผลงานของคนที่คิดการณ์ไกลว่าควรมีสิ่งนี้บนโลก
ศักยภาพและการไม่หยุดคิดไม่หยุดพัฒนาของมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้โลกเรามาได้ไกลขนาดนี้ ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นมาได้เพราะบุคคลเหล่านี้พยายามจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง คิด ทำ สร้างสรรค์ในสิ่งใหม่ให้กับโลกอย่างไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะต่อคุณภาพชีวิตของมนุษย์ เพราะนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่คิดค้นขึ้นมา ส่วนใหญ่แล้วจุดประสงค์หลัก ๆ คือเพื่อตอบสนองความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว ความทันสมัยในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ทำให้ชีวิตของเรายังคงวนเวียนอยู่กับวิทยาศาสตร์สืบไป
เป็นรูปธรรมและพิสูจน์ได้
ด้วยวิทยาศาสตร์นั้นหมายถึงความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต หลักการสำคัญคือกระบวนการประมวลความรู้เชิงประจักษ์เพื่อหาคำตอบในสิ่งที่สงสัย ตั้งสมมติฐาน และพยายามหาคำตอบ หรือที่เรารู้จักในชื่อว่า “กระบวนการทางวิทยาศาสตร์” ซึ่งเป็นพื้นฐานในการตรวจสอบและเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ พิสูจน์ความจริงก่อนได้ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรม และกลายเป็นองค์ความรู้ต่อไป การที่เราอิงเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการดำเนินชีวิต จะทำให้เราไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ จากแค่ตาเห็นหรือหูได้ยิน แต่จะตั้งคำถามและสมมติฐานเพื่อหาคำตอบที่เป็นข้อเท็จจริง ต้องพิสูจน์ก่อนที่จะเชื่อ ไม่ใช่การหลับหูหลับตาเชื่อเพราะ “เขาบอกว่า” ตามทฤษฎีสมคบคิด
ในโลกปัจจุบันที่มีข้อมูลมากมายมหาศาล ทั้งข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น เฟกนิวส์ บางทีก็แยกยากว่าอะไรที่เราควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ การใช้ตรรกะที่พูดถึงหลักเหตุและผลเพื่อพิจารณาถึงความสมเหตุสมผลก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อสิ่งใด อาจไม่ครอบคลุมที่จะหาคำตอบว่าสิ่งนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ จึงต้องอาศัยวิจารณาญาณหรือปัญญาที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้องได้เข้ามาช่วยด้วย ไม่เช่นนั้นเราอาจจะกลายเป็นเหยื่อที่ตกหลุมพรางตื้น ๆ ได้โดยง่าย เพียงเพราะด่วนที่จะเชื่อสิ่งใดโดยปราศจากวิจารณญาณและการพิสูจน์ความจริง