5 พฤติกรรมที่บั่นทอนจิตใจ และทำลายความมั่นใจของตัวเอง
คงจะมีบางครั้งที่เรารู้สึกว่าโลกใจร้ายกับเรามากเกินไป รู้สึกว่าทุกสิ่งอย่างที่พุ่งเข้าหาเรามีแต่เรื่องยากลำบาก ไม่เคยได้ใช้ชีวิตง่าย ๆ เหมือนใครเขาบ้างเลย ต้องดิ้นรน ต้องตะเกียกตะกาย ต้องต่อสู้สารพัดกว่าจะได้มาซึ่งอะไรสักอย่าง มันก็คงมีบ้างแหละ ช่วงเวลาที่เราเหนื่อยมากจนท้อแท้ หมดกำลังใจ แต่เมื่อได้พัก ได้หยุดนิ่งหรือลดสปีดในการใช้ชีวิตลง หาอะไรมาเยียวยาจิตใจ เติมไฟที่มอด เติมพลังฮึดสู้ เดี๋ยวเราก็จะกลับมาได้ใหม่อีกครั้ง
ด้วยสถานการณ์เดียวกัน จะมีคนอีกกลุ่มที่รู้สึกว่าโลกใบนี้โหดร้ายตลอดเวลา ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกล้มเหลวอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ก็จริง ทว่าอีกส่วนมาจากวิธีคิดและพฤติกรรมของคนคนนั้นที่ชอบคิดอะไรที่มันบั่นทอนจิตใจตัวเองเสมอ ชอบสงสัยในความสามารถของตัวเองโดยที่ไม่ยอมลงมือหาคำตอบ ตั้งคำถามกับความคิด ความรู้สึก และความเชื่อของตนเอง จนกัดกินความมั่นใจและความนับถือในตัวเองลงแทบหมดสิ้น ถ้าไม่เลิกพฤติกรรมเหล่านี้เสีย ก็ก้าวข้ามความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็นพวกขี้แพ้ไปไม่ได้หรอก
ฉันทำไม่ได้
“ไม่มีใครที่ทำร้ายเราได้เท่ากับเราทำร้ายตัวเอง” คำพูดนี้ยังคงใช้ได้เสมอมา เพราะไม่ว่าใครจะปฏิบัติต่อเราอย่างไร ถ้าเราเข้มแข็งพอที่จะไม่ใส่ใจ ไม่หวั่นไหวกับความคิด คำพูด หรือการกระทำของคนอื่นเสียอย่าง เราก็จะเป็นของเราแบบนี้แหละไม่มีอะไรมาทำลายเราได้ ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราจะรับมือและจัดการกับความคิดของตัวเอง ในขณะเดียวกัน ถ้าเราเป็นคนอีกแบบที่คิดลบกับตัวเองเสมอ บอกกับตัวเองด้วยคำว่า “ฉันทำไม่ได้หรอก” เสมอ ๆ นี่แหละ เรากำลังทำลายตัวเอง มันเป็นความคิดที่บั่นทอนทั้งกำลังใจ ความเชื่อมั่น และศักยภาพของเราเอง เหมือนกับเรากล่อมให้ตัวเองเป็นจริงตามความคิดนั้นเรื่อย ๆ ทำไม่ได้งั้นเหรอ มันก็เลยไม่มีความคิดที่จะลองทำไง!
ในทางจิตวิทยา มีปรากฏการณ์หนึ่งที่เรียกว่า Pygmalion Effect มันคือปรากฏการณ์ที่เราเชื่ออะไรสักอย่างมาก ๆ จนอยากให้สิ่งนั้นเป็นจริงหรืออยากพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เชื่อนั้นเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในแง่บวกหรือแง่ลบก็ตาม ดังนั้น แค่เราเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราทำได้ ย้ำกับตัวเองเสมอว่าทำได้ สมองของเราก็จะมีกลไกที่สั่งการให้เราพยายามหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้เราทำสิ่งนั้นให้สำเร็จอย่างที่คาดหวังไว้จริง ๆ ในทางกลับกัน ถ้าเราย้ำกับตัวเองด้วยคำว่า “ไม่ได้” ซ้ำ ๆ สมองเราก็จะเชื่อว่าไม่ได้จริง ๆ ตามนั้น เพราะมันไม่มีอะไรมากระตุ้นหรือผลักดันให้ตัวเองทำในสิ่งที่ต้องการ ต่อให้คนทั้งโลกจะไม่เชื่อเราก็ไม่เป็นไร แต่เราต้องเชื่อมั่นในตัวเองไว้ก่อน!
เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเสมอ ๆ
จริง ๆ แล้ว การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายในทุกกรณีหรอก พูดให้ถูกก็คือมันออกแนวเป็นดาบสองคมเสียมากกว่า ซึ่งมันก็อยู่ที่ตัวเราเองอีกนั่นแหละว่าจะเลือกรับเอาด้านบวก เปรียบเทียบเพื่อพิจารณาตัวเองและนำมาพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ หรือรับเอาด้านลบ เพื่อสร้างปมในใจและย้ำกับตัวเองว่าเป็นผู้แพ้ เป็นผู้ถูกกระทำ เป็นผู้ที่ไม่ได้รับความยุติธรรมอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ เราสามารถใช้ประโยชน์จากการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นได้จริง ๆ หากการเปรียบเทียบนั้นสะท้อนกลับมาหาเราแล้วทำให้เราเติบโตทางความคิด พิจารณาตัวเองว่าเราไม่ดีตรงไหน เกิดการกระตุ้นให้พัฒนาและแก้ไขเพื่อทำให้ตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น
ในความเป็นจริง มันยากนะที่เราจะหยุดความรู้สึกเปรี ยบเทียบได้ เนื่องจากวิธีคิดและความรู้สึกดังกล่าวส่งผลต่ ออารมณ์และความรู้สึกส่วนตัวของแต่ ละคนแตกต่างกันไป ถึงเราจะพร่ำบอกกับตัวเองเสมอว่าคนเราทุกคนมีข้อดีในตัวเองเรามีดีในแบบของเรา และทุกอย่างต้องใช้เวลา ปล่อยให้มันค่อยเป็นค่อยไปบ้างก็ได้ ไม่ต้องกดดันเร่งรีบอะไรนักหรอก ตราบใดที่เราไม่ติดกับการเปรียบเทียบมากจนเกิ นไปจนทำให้เรารู้สึกเศร้า ไร้ความสามารถ ดูถูกตัวเอง ไม่มีความภูมิ ใจในตนเอง และรู้สึกตัวเล็กลีบทุกครั้ง ในเมื่อเราหยุดเปรียบเทียบไม่ได้ก็เลือกรับเอาด้านบวกของการเปรียบเทียบมาใช้พัฒนาตัวเองดีกว่า ไม่ต้องแข่งขันกับใคร แค่ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีและมีความสุขก็พอ
จมอยู่กับอดีต ไม่ยอมรับ ไม่มูฟออน ไม่ให้อภัยตัวเอง
เมื่อวานน่ะมันผ่านไปแล้ว จบไปแล้วนะ แต่ชีวิตเรายังมีวันนี้ วันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้ และวันข้างหน้าต่อ ๆ ไปที่เราต้องเดินหน้าไปต่อ แล้วมันจะดีเหรอที่จะตัดโอกาสตัวเอง ทิ้งปัจจุบันและอนาคต ด้วยการยึดติดอยู่กับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอดีตที่สวยงามและอดีตที่เจ็บปวด มันก็เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว จับต้องก็ไม่ได้ แก้ไขก็ไม่ได้ ทำอะไรกับมันไม่ได้เลยสักอย่างนอกจากนึกถึง อดีตเป็นให้เราได้แค่ประสบการณ์และบทเรียนเท่านั้น อยู่ในความทรงจำ จำได้ แต่ไม่ต้องไปมีความรู้ใด ๆ กับมันอีกแล้ว เดินออกจากความเจ็บปวดหรือความรุ่งเรืองในอดีตเถอะ อย่าให้ความสำคัญกับอดีตมากจนลืมว่าวันนี้ก็สำคัญ และวันนี้จะมีผลต่อวันพรุ่งนี้ด้วย ปัจจุบันและอนาคตสำคัญยิ่งกว่า
สำหรับใครก็ตามที่จมอยู่กับอดีตที่ผิดหวัง ความรู้สึกผิดหรืออับอายตอนผิดพลาด ล้มเหลว มักจะเป็นความรู้สึกที่แย่และทุกข์ทรมานใจเสมอไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ รู้สึกเหมือนเป็นตราบาปในใจที่ทำให้นึกตำหนิตัวเองซ้ำไปซ้ำมาจนไม่มีความสุข นานวันยิ่งปวดร้าว กลายเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถ่วงใจไว้และหน่วงจนทำอะไรไม่ได้ ส่วนใครที่ยึดติดกับอดีตที่รุ่งเรืองไม่ยอมปล่อยวาง คุณกำลังทำลายปัจจุบันและอนาคตของตัวเองด้วยการหลงระเริงอยู่กับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว หวนมีความสุขในวันวานที่ครั้งหนึ่งที่เคยเป็นแบบนั้น แต่เมินเฉยกับปัจจุบันและอนาคต ชีวิตต้องหาความภาคภูมิใจอื่น ๆ ในภายภาคหน้าบ้างนะ ลองตามหาความสำเร็จอื่นที่นอกเหนือจากที่เคยสำเร็จในวันวานบ้าง
มัวแต่กังวลว่าจะเป็นอย่างไรในสายตาคนอื่น
“ไม่มีใครสนใจเราขนาดนั้น อย่าสำคัญตัวเองมากเกินไป” และ “หากเราแคร์ทุกคนในชีวิต เราจะเป็นบ้า” นี่คือสิ่งที่ต้องย้ำกับตัวเองซ้ำ ๆ หลายคนมักจะห่วงภาพลักษณ์ภายนอกมากเกินไป กังวลกับสายตาคนอื่นว่าเขาจะมองเราแบบไหน เราเป็นอย่างไรในสายตาคนเหล่านั้น กลัวจะดูไม่ดี กลัวคนอื่น ๆ จะไม่พอใจ ทั้งที่ความจริงเราไม่จำเป็นที่จะต้องแคร์คนอื่นมากขนาดที่ไม่กล้าจะทำอะไรเลย เข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เราจะไม่อยากถูกเกลียด แต่เราบังคับให้คนทั้งโลกมารักเราไม่ได้นะ ที่สำคัญ “คนอื่น” ก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตของเรามากขนาดนั้น เพราะฉะนั้น อยากทำอะไรก็ทำ แค่ตัวเราเองและคนอื่นไม่เดือดร้อนก็พอ แคร์คนอื่นให้น้อยลง โฟกัสความสุขตัวเองให้มากขึ้น เท่านี้เลย
ธรรมชาติของมนุษย์ทั่ว ๆ ไปน่ะ เขาไม่ได้สนใจเรื่องของคนอื่นนักหรอก โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จักมักจี่กัน ส่วนใหญ่แค่วุ่นวายกับเรื่องของตัวเองก็ไม่มีเวลาว่างมากพอจะไปสนใจใครแล้ว แน่นอนว่ามันก็คงจะมีอยู่บ้างแหละ พวกที่จ้องจับผิดหรือพวกที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน แต่ถ้าเราไม่สนใจเสียอย่างคนเหล่านั้นก็ทำอะไรเราไม่ได้ สุดท้ายคนพวกนั้นก็จะแพ้ภัยตัวเองไปเอง อีกอย่างที่อยากบอกให้รู้ก็คือคนเหล่านั้นมักจะสนใจเฉพาะคนที่ตัวเองรู้สึกอิจฉาหรือคนที่มีดีกว่าตัวเอง ดังนั้น ถ้าได้รับความสนใจลักษณะนี้ก็ภาคภูมิใจได้อย่างหนึ่งแหละว่าเราต้องมีดีอะไรสักอย่างให้คนพวกนั้นสนใจจะจับผิด นั่นต่อให้เราทำดีแค่ไหนก็หาเรื่องมาติเราจนได้นั่นแหละ เพราะงั้นอย่าได้แคร์
พัฒนาตัวเองอย่างจำกัด เพราะไม่กล้าออกนอกกรอบ
คนเราทุกคนมักจะเคยมีกรอบที่ล้อมรอบตัวเองไว้ และมีขีดจำกัดของตัวเองกันทั้งนั้น แต่กรอบและเส้นขีดเหล่านั้นมันจะคับแคบลงได้เสมอเมื่อเราโตขึ้น ไม่ใช่ร่างกายนะที่โตขึ้นแต่เป็นความคิดและจิตใจต่างหาก เพราะชีวิตเราได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา มีประสบการณ์ มีบทเรียน มีการเติบโต จนในวันหนึ่งกรอบและเส้นมันล้อมเราไว้จนเรารู้สึกตัน ก็ต้องหาก้าวออกมานอกกรอบหรือข้ามขีดจำกัดเดิมที่ตัวเองมีบ้าง คนเราต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เร็วถึงจะอยู่รอดในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่าให้ขีดจำกัดในช่วงเวลาหนึ่งมาเป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้เราเติบโต ทำใจให้เลิกกลัวการเปลี่ยนแปลง แล้วลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่ท้าทายตัวเองบ้าง
คนส่วนใหญ่มักจะมี Comfort Zone หรือพื้นที่คุ้นเคยที่ทำให้ตัวเองรู้สึกสบายใจ เพื่อไม่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จักที่ควบคุมได้ยาก เลือกทำแต่สิ่งง่าย ๆ หรืองานที่ตัวเองถนัดเท่านั้นจนกลายเป็นความเคยชิน ไม่กล้าทำอะไรใหม่ ๆ เพราะจะทำให้รู้สึกตื่นกลัวที่จะต้องรับมือความเปลี่ยนแปลง ทว่าโลกเราไม่ได้หยุดหมุน เราจึงหยุดพัฒนาตนเองไม่ได้ แม้ว่าสปีดของแต่ละคนอาจจะช้าเร็วไม่เท่ากัน แต่ก็ควรต้องมีการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม คนที่ไม่กล้าก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง นอกจากจะทำให้ความมั่นใจในตัวเองและการนับถือตัวเองลดลงแล้ว สุดท้ายก็จะไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนเพราะไม่เคยได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ และตามโลกไม่ทัน