เลิกถาม “ทำไมถึงยังไม่มีแฟน” แค่โสดไม่แปลกซะหน่อย

เลิกถาม “ทำไมถึงยังไม่มีแฟน” แค่โสดไม่แปลกซะหน่อย

เลิกถาม “ทำไมถึงยังไม่มีแฟน” แค่โสดไม่แปลกซะหน่อย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” ยังคงเป็นวลีที่เราจะได้ยินกันไปนานแสนนาน ไม่ว่าโลกเราจะเปลี่ยนผ่านไปอีกกี่ยุคสมัยก็ตาม ความรักทำให้คนมีความสุขก็จริง แต่ในทุก ๆ ความสุขมันก็มักจะพ่วงมาพร้อมกับความทุกข์ด้วย ซึ่งเราจะหลับหูหลับตามองว่ามันเป็นความสุขอย่างเดียวไม่ได้ ในความสัมพันธ์รูปแบบคนรักไม่อาจจะเดินหน้าต่อไปโดยไร้อุปสรรคเลยแม้แต่เรื่องเดียว แม้แต่คนที่เป็นคู่แท้ เป็นรักแท้ให้แก่กัน ก็ยังเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากเกี่ยวกับความรักมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งมันจะเป็นบทพิสูจน์รักแท้หรือบทสุดท้ายของคนสองคน ก็สุดแท้แต่จะนิยาม

ยังโสด ≠ แปลก อีกต่อไปแล้ว
จริง ๆ แล้ว การตั้งคำถามกับคนอื่น โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวหรือคนที่ไม่ได้สนิทสนมด้วยว่า “ทำไมยังไม่มีแฟน-ทำไมยังไม่แต่งงาน” ก็ไม่ใช่มารยาทที่ดีเท่าไรนัก ทว่าการตั้งคำถามแบบนี้ในยุคสมัยนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเสียมารยาทเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นแนวคิดที่โบราณล้าสมัยด้วย ยุคนี้สมัยนี้มีเทรนด์ที่เรียกว่า “เทรนด์คนโสด” ซึ่งถือว่าเป็นเทรนด์หนึ่งที่น่าสนใจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนที่อายุวัยเลขสามนำหน้าขึ้นไปไม่ได้รู้สึกกดดันหรือรู้สึกแย่ที่ตัวเองยังเป็นโสดอีกแล้ว หากโดนถาม แม้จะไม่พอใจนิดหน่อยที่ถูกเสียมารยาทใส่ แต่พวกเขามีเหตุผลดี ๆ ตอบ

ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน มีคนที่อายุเริ่มนำหน้าด้วยเลขสามจำนวนไม่น้อยที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองแปลก ไม่เหมือนคนอื่น เริ่มรู้สึกแย่ที่ตัวเองยังเป็นโสด ซึ่งมันมาความคาดหวังของสังคมที่มักมองว่าคนในวัยดังกล่าวควรมีความมั่นในชีวิต เริ่มลงหลักปักฐานได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอาชีพการงาน หรือการมีคู่ครอง สร้างครอบครัว เพื่อที่จะได้มีคู่ชีวิตที่ครองคู่กันไปแบบถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชรอะไรทำนองนั้น มีลูกมีหลานโตทันใช้ อนาคตแก่ตัวไปจะได้ไม่ต้องโดดเดี่ยวอยู่ตามลำพัง เราถูกสังคมสร้างบรรทัดฐานให้กลายเป็นเรื่องปกติ นั่นหมายความว่าคนที่ยังโสดอยู่น่าจะมีอะไรผิดปกติสักอย่าง สิ่งผิดปกติที่ว่าคือ “ไม่มีใครมาจีบ ไม่มีใครมาชอบ ไม่มีใครเอา”

ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย! เพราะคนโสดมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ แบบที่ตั้งใจโสด โสดแบบโสดเองไม่เกี่ยวกับคนอื่นมีอยู่ถมถืด เพราะคนกลุ่มนี้มองว่าการครองโสดดีกว่าการแต่งงาน หลาย ๆ คนสนุกสนานที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเลือกเอง ต้องการสร้างตัว อยากประสบความสำเร็จ การแต่งงาน มีลูก สร้างครอบครัว ไม่ตอบโจทย์ความท้าทายในชีวิตของพวกเขา ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วโลก คนยุคใหม่ในวัยเจนวาย (24-40 ปี) จำนวนไม่น้อยเลือกเองที่จะไม่มีแฟน ไม่มีความคิดที่จะแต่งงาน เป็นโสดก็แฮปปี้ดี มีแฟนแล้วมีไม่ดีก็อย่ามีดีกว่า

การอยู่เป็นโสด ถึงแม้จะมีความเหงาเข้ามาบ้าง แต่มันก็มีข้อดีอยู่มากจนสามารถก้าวข้ามความเหงาไปได้อย่างสบาย ๆ การหาความสุขด้วยการเติมเต็มทุกอย่างด้วยตัวเอง พึ่งพาคนอื่นน้อยลง รักความเป็นส่วนตัว มีพื้นที่ของตัวเองมากขึ้น ไม่ต้องรู้สึกยุ่งยากกับการจัดการเรื่องความสัมพันธ์ การเป็น self-partnered และการอยู่เป็นโสดถูกมองในแง่ลบน้อยลง การใช้ชีวิตคนเดียวไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือต้องอึดอัดอีกต่อไป ใช้ชีวิตแบบไม่เดือดร้อนใครก็พอ

คนโสดอยู่สบายตอนแก่ วางแผนล่วงหน้าชีวิตจะง่ายขึ้นมาก
ความกังวลใจมากที่สุดของคนโสดประเภทที่เต็มใจโสด ไม่ใช่การที่ตัวเองจะไม่มีประสบการณ์ความรักหรือเพราะเกลียดกลัวความเหงา แต่มันคือการที่ต้องแก่ตัวไปเพียงลำพังในขณะที่สภาพร่างกายมีแต่ถดถอยเสื่อมสภาพลงทุกวันต่างหาก เรื่องกลัวเหงา กลัวโดดเดี่ยวก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามีวิธีที่จะเอาตัวรอดจากความเหงาแบบคูล ๆ เจ๋ง ๆ ด้วยสารพัดกิจกรรมในชีวิต อีกทั้งพวกเขาก็รู้ดีว่าความเหงานั้นรับมือง่ายกว่าการอกหักหรือความเจ็บปวดเนื่องจากความรักหลายขุม ถ้าวางแผนเรื่องสภาพจิตใจดี ๆ ก็ไม่น่ามีปัญหา

เมื่อแก่ตัวลง คนเราย่อมไม่สามารถทำงานหนัก ๆ ได้เช่นวัยหนุ่มสาวอยู่แล้ว อีกทั้งสภาพร่างกายก็มีแต่เสื่อมลงเรื่อย ๆ ลุกก็โอยนั่งก็โอย ความจำเลอะเลือน ด้วยปัจจัยนี้ทำให้การที่ต้องอยู่ตามลำพังในวัยชรากลายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่ากลัวสำหรับคนโสด ในขณะที่คนที่มีคู่ครองและมีลูกมีหลาน ก็ยังอาจจะพอหวังพึ่งได้บ้าง แบบคำอวยพรในงานแต่งงานที่ชอบบอกให้คู่รักอยู่ดูแลกันไปยาว ๆ ในยามแก่เฒ่า หรือขอให้มีลูกมีหลานโตทันใช้ แต่…ก็ไม่ได้มีอะไรมาการันตีว่าการแต่งงานมีคู่ครองจะทำให้เรามีคนดูแลแน่ ๆ ในยามแก่ชราเสียหน่อย เอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้นก่อน

เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะอนาคตมันไม่แน่นอนไง สักวันหนึ่งอาจจะเลิกรากันก่อนแก่เฒ่า นัดเจอหน้าอำเภอจดทะเบียนหย่าในวัยเกษียณ หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจล้มหายตายจากไปก่อน แม้กระทั่งการอยู่กันไปด้วยความสัมพันธ์แบบเจ้ากรรมนายเวร ที่คู่ครองเป็นภาระมากกว่าเป็นคู่ชีวิต เรื่องแบบนี้มันก็เกิดขึ้นได้ แล้วที่มีลูกมีหลานก็จะแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเขาจะเหลียวหลังกลับมาเลี้ยงดู สังคมไทยก็ชอบลำเลิกเบิกบุญคุณกับลูกหลานว่าต้องเลี้ยงดูตอนแก่เพราะเป็นผู้มีพระคุณ พอก่อน! เลี้ยงดูให้ดี แล้วภาวนาอย่าให้โตมาเป็นภาระหรือเป็นปัญหาสังคมก็นับว่าประเสริฐแล้ว ฉะนั้น ต่อให้แต่งงานมีคู่ครอง อนาคตก็ไม่แน่นอนพอ ๆ กันกับคนที่อยู่เป็นโสดนั่นแหละ

เพื่อกันเหนียว เราอาจต้องมาตั้งต้นวางแผนชีวิตในวัยชราด้วยพื้นฐานแบบคนโสดที่ไม่มีใครคอยดูแล คือการที่จะต้องเลี้ยงดูตัวเองให้อยู่ต่อไปจนสิ้นอายุขัยแบบไม่ลำบากมากนัก ส่วนใครที่แต่งงานแล้วได้คู่ชีวิตดี มีลูกหลานดี ๆ ก็ถือว่าเป็นกำไรไป พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องเริ่มต้นวางแผนบนเกณฑ์ที่ว่า “ตัวคนเดียว” ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่แก่เท่าไรนี่แหละ ทั้งเรื่องของเงินออมที่จะเอาไว้ใช้จ่ายหลังจากที่ไม่ได้ทำงานแล้วว่าต้องมีอย่างน้อยเท่าไร การหาผู้ช่วยมาดูแล การทำประกันสุขภาพเพื่อแบ่งเบาค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย สภาพจิตใจในระยะยาว ที่อยู่อาศัยหลังเกษียณ แนวคิดเรื่องบ้านพักคนชราจะทำให้เราได้อยู่สบาย ๆ พร้อมคนคอยดูแล และชีวิตหลังความตาย เรื่องมรดกและอวัยวะ-ร่างกาย

ยุคที่คนโอ้อวดเรื่องความสุขในชีวิต ไม่ใช่อวดการมีคนรักอย่างเดียว
การมีคนรักหรือการแต่งงานก่อนอายุเท่านั้นเท่านี้ ไม่ใช่ปัจจัยที่ใช้วัดความสุขความสำเร็จในชีวิตอีกต่อไปแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วไปว่าชีวิตที่มีคนรักและการแต่งงานไม่ได้การันตีว่าจะทำให้มีความสุขเสมอไป หลายคนจำต้องตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ แบบที่ไปต่อก็ลำบาก แต่จะถอยหลังก็ไม่ได้แล้ว อีกทั้งการออกจากความสัมพันธ์ที่เลวร้ายแบบนั้น ทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะหย่าร้างแล้วจบ ถ้าคุณดูข่าว คุณจะพบกับข่าวอาชญากรรมที่สามี-ภรรยาหรือคนรักฆ่ากันตายถี่ยิบ การเลิกราที่ตามหึงหวงไม่เลิก ง้อแล้วไม่เป็นผล ถ้าคุณอยากออกจากความสัมพันธ์แต่อีกฝ่ายไม่ยอม เรื่องอาจจบลงด้วยความตายของใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ ทุกวันนี้สังคมมันเป็นอย่างนี้แหละ!

แล้วคู่สมรสไทยในปัจจุบันมี จำนวนการหย่าสูงขนาดไหน ถ้าหากกลับไปดูสถิติย้อนหลังจะพบว่ าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตั วเลขการหย่าร้างจากกรมการปกครอง  พบว่ามีสัดส่วนสูงขึ้นเมื่ อเทียบกับยอดจดทะเบี ยนสมรส โดยในปี 2563 มีสัดส่ วนการหย่าร้างมากที่สุดในรอบ  10 ปี ด้วยจำนวน 121,011 คู่ คิ ดเป็น 45% หรือเกือบครึ่ งของยอดจดทะเบียนสมรสใหม่ 271, 344 คู่ ส่วนในปี 2564 แม้ว่าตัวเลขการจดทะเบียนหย่าจะลดลงมาเหลือ 110,942 คู่ แต่เมื่อเทียบกับคู่จดทะเบียนสมรสใหม่จำนวน 240,979 คู่ การจดทะเบียนหย่าก็ยังสูงถึง 46% ทีเดียว

ทุกวันนี้ คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะอยู่เป็นโสดด้วยความตั้งใจ ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ข้อ หนึ่งในนั้นคือการมองว่าพวกเขาสามารถสร้างความสุขให้ตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคนรัก มันอาจเป็นเรื่องจริงที่ว่าคนโสดหลาย ๆ คนล้วนเคยผ่านช่วงเวลาที่ “อยากมีคนรัก” มาแล้วทั้งนั้น มันเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ที่ต้องการจะเป็นที่รักของใครสักคน อยากเป็นคนที่ถูกรัก และอยากเป็นคนที่ได้มอบความรักให้กับคนอื่น แต่ด้วยเคยเจ็บปวดและผิดหวังจากการมีคนรักมาเยอะ พวกเขาก็เริ่มปรับตัวจนเคยชินกับการใช้ชีวิตคนเดียว คนเหล่านี้จะเริ่มเรียนรู้วิธีที่จะสร้างความสุขขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง หาทำสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดี โดยไม่จำเป็นต้องหวังพึ่งพาให้ใครมามอบความสุขให้

ในเมื่อคนทุกวันนี้มักจะโอ้อวดความสุขในชีวิต โดยที่บางคนอวดความสุขจอมปลอมที่มีอยู่เพียงน้อยนิด และเลือกที่จะเก็บความทุกข์มหาศาลไว้ในใจ ในขณะเดียวกันก็มีคนอีกกลุ่มที่หลีกพ้นจากการหาความทุกข์ใส่ตัวและสร้างความสุขแท้ขึ้นมาด้วยมือตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วแค่ไหน ตราบใดที่เรารู้สึกดีเราก็มีความสุขได้ เพราะฉะนั้น ความสุขที่คนเราจะใช้อวดกันมันไม่ได้มีแค่ภาพงานแต่งงานสุดชื่นมื่น หรือภาพรายงานเรียลไทม์ตอนที่ให้กำเนิดลูก ยังมีอีกหลายสิ่งอย่างที่เป็นความสุขได้ คนโสดก็แค่เลือกหาวิธีมีความสุขในแบบของตัวเองก็จบ ซึ่งนี่อาจจะเป็นความ “โชคดี” ที่ทำให้เราได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ได้ดูแลตัวเองให้ดีขึ้น อย่างที่คนมีคู่บางคนอาจจะแอบอิจฉาอยู่ก็เป็นได้!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook