“น้ำใจ” สำคัญอย่างไร ในความสัมพันธ์ของคนรักกัน
ยุคสมัยที่การเดินห้างคนเดียว นั่งกินชาบูคนเดียว ไม่ใช่พฤติกรรมที่จะถูกมองในด้านลบหรือเป็นเรื่องน่าอายจนต้องแอบ ๆ ทำเพราะกลัวจะถูกคนอื่นเห็น เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ใครหลายคนสามารถใช้ชีวิตอยู่กับ “ความโสด” ได้ง่ายขึ้นเยอะ ไม่ว่าจะโสดแบบตั้งใจหรือโสดแบบจำใจ ก็ไม่มีใครเขามาสนใจแล้ว ซึ่งความโสดที่ว่า เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้แย่อะไร ออกจะมีข้อดีอยู่หลายข้อด้วยซ้ำ
นั่นทำให้คนที่รู้สึกว่าตนเองควรจะพอกับการมีสถานะหรือการมีคนรักได้แล้วหลายคนหันมาตั้งใจโสดง่ายขึ้นเช่นกัน ถ้ามีแล้วเหมือนไม่มี มีแล้วดีแต่สร้างปัญหา สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กัน หลายคนก็กล้าที่จะ say goodbye โดยทันที ถ้ามันไม่มีประโยชน์และไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องทน หลาย ๆ คนเลิกกับแฟนด้วยเหตุผลที่ง่าย ๆ ว่า “ทนความเป็นคนใจดำ ความแล้งน้ำใจของอีกฝ่ายไม่ได้อีกแล้ว” เอาเข้าจริงพฤติกรรมแบบนี้มันก็เป็นพิษในความสัมพันธ์ เป็นภัยกับคนรักเหมือนกันนะ มันเท่ากับว่าอีกฝ่ายต้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว แค่ไม่ช่วยแบ่งเบาอะไรก็ว่าเหนื่อยแล้วกระนั้นก็ยังพอรับได้ แต่พวกที่ยังสร้างปัญหาเพิ่ม อันนี้เชื่อว่าใคร ๆ ก็ไม่อยากจะทนเหมือนกัน
ความสัมพันธ์ มันจะไปกันรอด แค่ความรักมันไม่พอแต่ต้องรู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วย ไม่ใช่หน้าที่ก็จริง แต่มันเป็น “น้ำใจ” ถ้าต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว ทำอะไรก็เพื่อตัวเองตลอด แบบนั้นอยู่คนเดียวก็ได้ เพราะฉะนั้น บางอย่างมันจำเป็นที่ต้องมี “น้ำใจ” ให้กันบ้าง สักนิดสักหน่อยก็ยังดี แฟนประเภทที่เคยทำอะไรด้วยตัวเองคนเดียวมาก่อน จริง ๆ เขาอาจจะไม่ได้คาดหวังหรือต้องการความช่วยเหลือมากขนาดนั้นเพราะเขาทำได้เองมาโดยตลอด แต่มีน้ำใจให้เพื่อซื้อใจกันเท่านั้นก็ได้ ซึ่งการที่คนเราคบกันโดยอ้างว่ารัก ทว่าไม่มีน้ำใจหยิบยื่นให้กันเลยสักนิดทั้งที่อยู่ในความสัมพันธ์กัน คิดว่าในใจจะไม่รู้สึกอะไรเลยจริง ๆ เหรอ ว่าทำไมถึงได้แล้งน้ำใจหรือใจดำใส่กันได้ขนาดนี้
ฉะนั้น มาดูกันว่า “น้ำใจ” สำคัญอย่างไรในความสัมพันธ์
มันดีต่อใจจริง ๆ นะ
“กำลังจะเข้าไปหา เอาอะไรไหม เดี๋ยวแวะซื้อไปให้” “วันนี้เลิกงานกี่โมง เดี๋ยวไปรับ แล้วไปกินข้าวกัน” “แวะลงมารับขนมหน่อย ซื้อมาฝาก” “เก็บบ้านหน่อย เดี๋ยวช่วย” และอีกสารพัดคำพูดที่มีความหมายใกล้เคียงกัน มันเป็นคำง่าย ๆ ที่ทำให้คนฟังใจฟูได้ รู้สึกดีต่อใจที่อีกฝ่ายแสดงน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยการเอาใจใส่และนึกถึงกันแบบนี้ คือการเป็นแฟนกันนั้น หลายคู่เลยล่ะที่ต่างคนต่างยังใช้ชีวิตของตัวเองปกติ ไปทำงานเอง กลับบ้านเอง ถ้าไม่ได้นัดเจอกันก็นั่งกินข้าวที่บ้านคนเดียว ทำอะไรเองคนเดียว พออีกฝ่ายเสนอตัวเข้ามาช่วยในสิ่งที่ปกติเราทำของเราได้เอง มันรู้สึกประทับใจจริง ๆ เราน่ะแค่เขาหรือเธอแวะเอาหน้ามาให้เห็นก็ดีใจแล้ว ไม่ได้คาดหวังอะไรที่พิเศษไปกว่านั้นหรอก
สร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น
เพราะการแสดงออกซึ่งความมีน้ำใจ บ่อยครั้งมันก็สร้างสถานการณ์ให้คู่รักได้ทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกันซะงั้น ทั้งที่ตามตารางการใช้ชีวิตปกติจะไม่เป็นแบบนั้น แต่เพราะดันเป็นคนมีน้ำใจขึ้นมา ฟ้าก็เลยให้รางวัลเป็นการตอบแทน พูดง่าย ๆ ก็คือ ช่วยสร้างสถานการณ์ที่พิเศษขึ้นมาได้ เช่น วันนี้แฟนมีธุระงานข้างนอกออฟฟิศ ระหว่างเดินทางก็ผ่านร้านขนมที่เราชอบ ก็เลยซื้อขนมนั้นมาฝาก แล้วแวะเอามาให้เราที่ออฟฟิศ แทนที่วันนั้นต่างคนจะกินข้าวกลางวันที่ออฟฟิศใครออฟฟิศมัน ก็ได้มาเจอหน้ากัน ได้นั่งกินข้าวกลางวันด้วยกัน กินขนมที่ซื้อมาด้วยกัน แถมความประทับใจที่แฟนมีน้ำใจให้กันแบบนี้ มันก็ทำให้เรารู้สึกดีกับเขาหรือเธอมากขึ้นด้วย กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นกว่าเดิม
หล่อเลี้ยงความสัมพันธ์
“เสมอต้นเสมอปลาย” อาจไม่มีอยู่จริงในคู่รักหลาย ๆ คู่ ความรักหวานชื่นจนมดไต่ พฤติกรรมที่ขยันทำเพื่อเอาอกเอาใจ มันก็มีจุก ๆ แค่ในช่วงโปรโมชัน พอก้าวเข้าสู่ช่วงรักหมดช่วงโปรปุ๊บ อะไรที่เคยทำเพื่อเอาใจในช่วงแรก ๆ ก็หายไป น้ำใจที่เคยช่วยเหลือหลาย ๆ อย่างโดยไม่ต้องขอ มาวันนี้กลับแห้งเหือดถึงขนาดที่เราเอ่ยปากขอความช่วยเหลือเองก็ยังปฏิเสธได้ลงคอ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง ๆ นะ ที่คนเรามักจะละเลยเรื่องความเกรงใจและการถนอมน้ำใจกับคนใกล้ตัว พอสนิทกันแล้วความใส่ใจก็ไม่เท่าเดิม คิดว่าทำอะไรกับอีกฝ่ายก็ได้ แต่สำหรับคู่ที่ยังหยิบยื่นน้ำใจดี ๆ ให้กันเรื่อยมา น้ำใจจะช่วยหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ให้หนักแน่น มั่นคงมากกว่าเดิมจริง ๆ ทำให้ยังมีกันอยู่ในวันนี้
ความสัมพันธ์ที่มั่นคงยั่งยืนเพราะต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือกัน
คู่รักที่มีสถานะเป็นแฟนกันอาจจะเห็นภาพไม่ชัด แต่คู่รักที่แต่งงานกันไปแล้วใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันนานหลายสิบปี แบบที่ใคร ๆ ก็อิจฉาว่านี่แหละ “พวกเขาเป็นคู่แท้ของกันและกัน” จุดเริ่มต้นมันก็มาจากการแสดงน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่กันเมื่อครั้งยังคบกันใหม่ ๆ มีน้ำใจ ยื่นมือช่วยเหลือสม่ำเสมอจนกระทั่งแต่งงาน เมื่อใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้วก็ยังมีน้ำใจให้กันในชีวิตประจำวันเรื่อย ๆ ไม่ได้ยึดว่าเป็นหน้าที่ของใครแต่มองว่าช่วยกันได้ก็ช่วย ตราบใดที่ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดใจดำหรือแล้งน้ำใจปล่อยมือให้อีกฝ่ายต้องแบกรับทุกอย่างตามลำพัง ความรักมันก็จะไม่เปราะบางขนาดนั้นหรอก แต่การมีคู่ชีวิตที่เหมือนไม่มี ไม่แบ่งเบาก็แย่แล้วแถมสร้างภาระเพิ่มยิ่งแย่กว่า แบบนี้ต่างหากที่จะนำไปสู่ทางตัน