โตแล้วใช้ชีวิตคนเดียวได้ เหงานิดหน่อยแต่ก็ happy ดี

โตแล้วใช้ชีวิตคนเดียวได้ เหงานิดหน่อยแต่ก็ happy ดี

โตแล้วใช้ชีวิตคนเดียวได้ เหงานิดหน่อยแต่ก็ happy ดี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อหลายปีก่อน เราจะเห็นว่า “การทำอะไรตัวคนเดียว” ค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องน่าอายและทำให้ใครหลายคนรู้สึกอึดอัด ไม่ว่าจะเป็นการนั่งกินข้าวคนเดียวที่โรงเรียน ที่ออฟฟิศ ที่ร้านอาหารตามห้าง หรือทำกิจกรรมที่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะทำร่วมกันกับเพื่อนฝูง แต่เรากลับต้องทำคนเดียวโดยไม่มีเพื่อน คนที่กล้าจะทำกิจกรรมเหล่านี้คนเดียว จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญและใจแกร่งพอสมควร ที่จะไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง หรือคำซุบซิบนินทาในเชิงลบ เพราะการทำอะไรคนเดียวมันมีนัยยะในเชิงลบให้คนอื่นเข้าใจผิดจริง ๆ

ในยุคนั้นสมัยนั้น คนที่ทำอะไรคนเดียวมักจะตกเป็นเป้าสายตาคนอื่น เวลาที่ทำอะไรคนเดียวท่ามกลางคนเยอะ ๆ เพราะการอยู่คนเดียวในที่สาธารณะ คนอื่นที่ไม่รู้จักเราจะชอบอยากออกความคิดเห็น อยากเดาสถานการณ์ของคนที่นั่งกินข้าวคนเดียว ตีความว่าเขาเป็นคนไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคบ หรือเป็นพวกที่มีปัญหาในการเข้าสังคม มีปัญหาในการเข้าหาผู้อื่น ความคิดเช่นนี้ล้วนเป็นความคิดเชิงลบที่ตัดสินกันง่าย ๆ ที่ภายนอกทั้งสิ้น คนที่จิตใจไม่แข็งแกร่งพอและแคร์สายตาคนอื่นมากเกินไปจึงไม่อาจรับมือได้ หลายคนถึงขนาดต้องไปแอบเอาข้าวไปกินในห้องน้ำแทน จนมีคำเรียกคนที่ทำกิจกรรมในลักษณะนี้ว่า “Benjo Meshi” หรือ “Toilet Lunch”

ไลฟ์สไตล์สังคมยุคปัจจุบัน ทำอะไรคนเดียวไม่ได้แปลกแยกในสายตาใครอีกแล้ว
เนื่องจากสังคมปัจจุบันตระหนักรู้และให้ความสำคัญกับเรื่องของปัจเจกบุคคลมากขึ้น ความเป็นส่วนตัวและเรื่องของคนอื่น คือสิ่งที่คนนอกไม่ควรเสนอหน้าเข้าไปจุ้นจ้านวุ่นวาย เขาจะเป็นอย่างไรมันก็เรื่องของเขา ตราบใดที่เขาไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ทำให้คนหลายคนกล้าที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ ลองออกมาใช้ชีวิตภายนอกแบบตัวคนเดียวมากขึ้น จากคนกลุ่มเล็ก ๆ ก็เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าช่วงแรก ๆ จะเคอะเขินอยู่บ้าง แต่ในท้ายที่สุดเราก็สามารถทำอะไรตัวคนเดียวได้โดยไม่ต้องกลัวสายตาคนอื่นอีกต่อไป

เวลานี้ คนส่วนใหญ่มีความคิดไปในทิศทางเดียวกันว่าสังคมกำลังเปลี่ยนไป เราจะเห็นคนที่ชอบฉายเดี่ยวในการทำนั่นทำนี่อยู่เรื่อย ๆ พวกที่ปลดล็อกสกิลทองคำ อัปเลเวลไปอยู่ขั้นสูง คนพวกนี้ไม่ใช่แค่กล้าเดินห้างหรือนั่งกินข้าวในร้านตามสั่งคนเดียว แต่หาญกล้าถึงขั้นนั่งกินบุฟเฟต์ ชาบู หมูกระทะ คนเดียว นั่งดูหนังรักในโรงหนังคนเดียว ร้องคาราโอเกะคนเดียว ไปคอนเสิร์ตคนเดียว หรือแม้กระทั่งไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกคนเดียว คนเหล่านี้ใช้ชีวิตคนเดียวสบายมาก และมันก็ปกติมาก ๆ ด้วย

ซึ่งการที่หลายต่อหลายคนมีพฤติกรรมชอบฉายเดี่ยวทำอะไรคนเดียวแบบนี้ มันไม่ได้แปลว่าพวกเขาเป็นคนที่ไม่มีเพื่อน เป็นคนไม่มีใครคบเสมอไป (ต่อให้ไม่มีใครคบมันก็เรื่องของพวกเขาที่คนนอกไม่ต้องยุ่ง) บางทีเพื่อนพวกเขาอาจจะไม่ว่าง หรือพวกเขารู้สึกสะดวกกว่าที่จะทำอะไรคนเดียว ที่สำคัญก็คือพวกเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยวเวลานั่งกินข้าวคนเดียวอย่างที่คนอื่นชอบคิดแทนด้วย การทำอะไรคนเดียวไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะรู้สึกทุกข์ทรมาน ในทางกลับกันอาจจะกำลังมีความสุขสุด ๆ อยู่ก็ได้ มันก็แค่วิถีชีวิตปกติ ที่ใคร ๆ ก็ควรอยู่คนเดียวให้เป็น

มีสิ่งใหม่ ๆ กำเนิดมารองรับวัฒนธรรมตัวคนเดียวมากขึ้น
เมื่อก่อน คนที่ชอบทำอะไร ๆ คนเดียว (ไม่ว่าจะเต็มใจหรือสถานการณ์บังคับ) ถือเป็นคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางคนกลุ่มใหญ่ ที่พวกเขามักจะกิจกรรมต่าง ๆ กันเป็นกลุ่มก้อนมากกว่าที่จะแยกตัวออกมาทำคนเดียว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเหล่านั้นจะรู้สึกว่าตนเองเป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่เหมือนคนอื่น แปลกแยก น่าอาย และอึดอัด เพราะเห็นได้ชัดเจนว่าคนที่เดินคนเดียวนั้นโดดเด่นท่ามกลางคนที่มาเป็นคู่หรือเป็นกลุ่มแก๊งแค่ไหน เราจึงรู้สึกแคร์สายตาคนอื่น ระแวงว่าถูกจับจ้องอยู่ ทั้ง ๆ ที่อาจจะไม่ได้มีใครสนใจเราขนาดนั้นก็ได้

ด้วยความที่เป็นคนกลุ่มน้อยบวกกับแคร์สายตาคนอื่น ทำให้การใช้ชีวิตคนเดียวกลายเป็นเรื่องน่ากลัว การอยู่คนเดียวในที่สาธารณะอาจทำให้คนอื่นตีความได้ว่าเป็นคนไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคบ หรือเป็นพวกมีปัญหาในการเข้าสังคมสถานการณ์น่าอึดอัดเช่นนั้นทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกไม่สบายใจที่จะทำอะไรคนเดียว แต่สภาพสังคมเมืองทุกวันนี้แตกต่างออกไปจากเมื่อก่อน คนที่ทำอะไรคนเดียวเริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้น ชนกลุ่มน้อยเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นมา การทำอะไรคนเดียวจึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดหรือน่ากลัวอีกต่อไป เพราะไม่ใช่แค่เราที่นั่งกินข้าวคนเดียว โต๊ะนั้นก็มาคนเดียว โต๊ะนู้นก็นั่งคนเดียว ที่เพิ่งเดินเข้ามาก็มาคนเดียว เรามีเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ทำอะไรคนเดียวอยู่รอบตัว

ในเมื่อการใช้ชีวิตคนเดียวกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดามากขึ้นเรื่อย ๆ ฟากผู้ประกอบการก็ขานรับพฤติกรรมและวิถีชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เล็งเห็นถึงเทรนด์การใช้ชีวิตแบบฉายเดี่ยว กินข้าวคนเดียว เดินห้างคนเดียว ดูหนังคนเดียว ไปคอนเสิร์ตคนเดียว จึงมีการปรับตัว ออกแบบผลิตภัณฑ์ สินค้า และการบริการ เพื่ออำนวยความสะดวกกายสบายใจให้กับลูกค้าที่มาคนเดียวหรือถนัดการใช้ชีวิตคนเดียวมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มนี้ เช่น กลุ่มคนโสดที่อาศัยอยู่คนเดียว ก็มีการออกแบบสินค้าสำหรับหนึ่งคน ไม่ว่าจะเป็นโซฟาขนาดพอดีตัวหนึ่งคนนั่ง โต๊ะกินข้าวขนาดกะทัดรัด เตียงเดี่ยว หม้อหุงข้าวไซซ์มินิ หรือที่พักที่ออกแบบให้เข้ากับคนที่ใช้ชีวิตตามลำพังในราคาที่ย่อมเยาลงมา

ในส่วนของการบริการ เมื่อเห็นว่ามีลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการคนเดียวจำนวนมากขึ้น บางร้านก็มีการปรับผังร้าน โดยการแยกโซนเฉพาะสำหรับลูกค้าที่มาคนเดียว ร้านอาหารหลายร้านในไทยเริ่มมีการบริการในลักษณะนี้ หรือในเกาหลีใต้ ในโรงภาพยนตร์บางแห่งจะมีการจัดที่นั่งที่มีขนาดกว้างกว่าเบาะทั่วไปและมีที่กั้นด้านข้าง เพื่อความเป็นส่วนตัวสำหรับคนที่มาดูหนังคนเดียวด้วย จะเห็นว่าเมื่อคนกลุ่มที่ทำอะไรคนเดียวขยายตัวใหญ่ขึ้น ทัศนคติโดยรวมของสังคมก็เริ่มเปลี่ยนไปเพราะใคร ๆ เขาก็ทำอะไรคนเดียวกันได้ ในยุคนี้การใช้ชีวิตคนเดียวจึงไม่ใช่พฤติกรรมในแง่ลบอีกต่อไป

เหงาหน่อยแต่ก็มีสารพัดความสุขจากการทำอะไรคนเดียว
ข้อดีอย่าง “ความอิสระ” คือสิ่งที่เราจะได้จากการที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว เพราะในความเป็นจริง ชีวิตที่ถูกผูกติดและยึดโยงกับความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ มากเกินไปมันก็บั่นทอนความสุขของตัวเราเอง ความรู้สึกเหนื่อยที่จะต้องคอยสังเกตหรือระแวดระวังว่าคนรอบตัวจะรู้สึกยังไงกับตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำไม่สะดวกเพราะถูกห้ามหรือต้องมานั่งเกรงอกเกรงใจกัน ในขณะที่ถ้าเราใช้ชีวิตคนเดียว เรามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ไม่มีอะไรมากั้น เพียงแต่คนอื่นไม่เดือดร้อน แค่ยอมรับผลของการกระทำด้วยตัวเองได้ และไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะได้รับผลกระทบ

ในขณะที่ข้อเสีย มันก็หนีไม่พ้นเรื่องพื้นฐานอย่าง “ความเหงา” และ “การไม่มีที่พึ่งพา” เรื่องง่าย ๆ ที่จะเกิดขึ้นก็คือถ้าล้มป่วยขึ้นมาก็ต้องกระเสือกกระสนรับมือกับเรื่องฉุกเฉินเพียงลำพัง ไม่มีใครดูแลยามเจ็บไข้ได้ป่วย แบบที่ “ตายไปก็ไม่มีใครรู้” อย่างไรอย่างนั้น เรื่องนี้จึงต้องหาวิธีรับมือกันต่อไปในอนาคต ทว่าคนที่เคยเผชิญกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนวุ่นวายมาแล้ว ก็จะรู้ดีว่าความเหงามันรับมือง่ายกว่าความเจ็บปวดเป็นไหน ๆ ความเหงาเป็นสิ่งที่เราจัดการได้ด้วยตัวเอง แค่หาอะไรทำ ไม่ปล่อยให้ตัวเองว่าง หาความสุขใส่ตัวให้ได้มากที่สุด ความเหงามันก็จะหายไปเอง

นั่นทำให้คนที่วางแผนจะครองตัวเป็นโสด จำเป็นต้องวางแผนชีวิตเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แม้ว่าความสุขจากการทำอะไรคนเดียวจะไม่ได้หายากอย่างที่คิด และการจัดการกับความเหงาก็ง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปาก แต่ความโดดเดี่ยวที่จะกัดกินในใจไปตลอดชีวิต ต้องอาศัยการวางแผนที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพราะเมื่อไรที่เราโดนความโดดเดี่ยวเข้าครอบงำ มันจะมีผลต่อการสร้างความสุขเพื่อตัวเอง และไหนยังจะต้องเตรียมการรับมือกับการที่ไม่มีที่พึ่งพายามฉุกเฉินด้วย ในอนาคตเราจะไม่ใช่แค่คนโสดที่อยู่คนเดียว แต่จะเป็นผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว เรื่องนี้ก็ต้องวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุม

ในยุคที่การทำอะไรคนเดียวและการใช้ชีวิตคนเดียวไม่ใช่เรื่องในด้านลบ ดูแปลกประหลาด น่าอับอาย น่าอึดอัดอีกต่อไปแล้วเช่นนี้ สิ่งที่เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมก็คือวิธีการสร้างความสุข การรับมือกับความเหงา ความโดดเดี่ยว และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เพราะแม้ว่าคนกลุ่มนี้จะดูรวม ๆ แล้ว happy ดี แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงอยู่ดีก็คือการดูแลตัวเองให้ปลอดภัยในสังคมยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายหรือจิตใจ (ระยะยาว) ของผู้ที่ใช้ชีวิตเพียงลำพัง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook