ทรงผมผู้ชาย-สีผมมาแรงปี 2023
ปีเก่ากำลังจะหมดไป ปีใหม่ก็คืบคลานเข้ามา นอกจากพัฒนาความรู้ความสามารถให้เพิ่มพูนขึ้น ปัจจัยภายนอกอย่างรูปร่างหน้าตา หรือแม้กระทั่ง “ทรงผม” ก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยทำให้เรามั่นใจและนำมาซึ่งความสำเร็จได้เช่นกัน
วันนี้ Sanook มีโอกาสได้พูดคุยกับ บิลลี่ สาวิชัย ผู้ก่อตั้ง-ครีเอทีฟไดเรคเตอร์ TUR Hair Salon และแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Lolane Pixxel Pro ที่มาอัปเดตเทรนด์ทรงผมปีหน้า พร้อมแนะนำสีผมที่คาดว่าน่าจะได้รับความนิยมอย่างสูง
turhairsalon
แต่ก่อนจะไปที่เรื่องทรงผม-สีผม เรามารู้จักกับ บิลลี่ ช่างผมคนเก่งผู้ปลุกปั้น TUR Hair Salon ให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของเหล่าคนดัง ดารา เซเลบ มากมาย จากจุดเริ่มต้นที่อยากยกระดับช่างผมให้เป็นอาชีพที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ สู่การร่ำเรียนทั้งในและต่างประเทศ พัฒนาตัวเองจากช่างฝึกหัด สู่การเปิดร้านเล็กๆ จนก้าวมาเป็นร้านตัดผมพื้นที่โอ่โถง ตกแต่งสวยงามเสมือนนั่งตัดผมทำหล่อในโกดังสไตล์ลอฟต์
ทรงผมผู้ชาย สไตล์ Down Perm ฮิตข้ามปี
ย้อนกับไปสมัยก่อนการจะตัดผมที่อยู่ตรงกลางระหว่างยาวกับสั้น ถือว่ายากมากเพราะตัดมาแล้วผมมักจะผมชี้โด่ชี้เด่ แต่ปัจจุบันการตัดผมสไตล์นี้ได้รับความนิยมอย่างสูงด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Down Perm (ดาวเพิม) (ใช้น้ำยาเพื่อกดผมด้านข้างให้แนบเข้ารูปศีรษะ ไม่ชี้ กระเด้ง บานออกมา)
“เมื่อก่อนมันจะมีจุดที่ว่าตัดไปแบบก้ำกึ่งไม่ได้มันจะชี้ เดี๋ยวนี้มันเลยมีคำว่า Down Perm เข้ามา มันก็กลายเป็นว่าคนที่อยากไว้ผมไม่ยาวมากไม่สั้นมากก็สามารถไว้ได้ ส่วนคนไทยชอบไว้ผมที่ข้างหลังทุยๆ ปีหน้าทุกคนจะไถสูงขึ้นมา เพราะว่ามันเป็นเทรนด์ของปีหน้าว่าทุกคนจะไถสูง เพราะว่าเอาจริงๆ บ้านเราก็ตามกระแสเกาหลี ซึ่งตอนนี้เกาหลีก็ขึ้นสูงกันหมดแล้ว ทรงผมมันมีแฟชั่นที่เข้ามาผสมด้วยเสมอ”
สีผมผู้ชาย น้ำตาลโทนสว่างมาแน่นอน
หนุ่มๆ คนไหน กำลังอยากเปลี่ยนสีผม สีน้ำตาลยังคงมาแรงต่อเนื่อง อย่างสี Sand (สีน้ำตาลโทนสว่าง) ทำให้ประกายผมที่สะท้อนออกมาแลดูสุขภาพดี หรือจะผสมเทคนิคแนว Ash ที่เพิ่มประกายความหม่นให้สีผมมีมิติมากขึ้น ส่วนใครอยากเปลี่ยนลุครับปีใหม่ โทนสีฟ้า ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยแรงบันดาลใจจากเทรนด์ยุค 80 และ 90 ที่วนเวียนกลับมาให้ได้เห็นต่อเนื่องทั้งการแต่งตัวและสีผม
“ต้องมองกลับไปก่อน เมื่อสัก 10-20 ปีที่แล้ว คนก็เริ่มทำสีกันแล้วนะ แต่สมัยนี้วัยรุ่นเริ่มทำสีเยอะกว่าเดิมมาก ส่วนหนึ่งเพราะว่าออฟชั่นสีมันเยอะขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน อย่างยุค Y2K เราทำแค่สีอะไร ทอง บวกกับตอนนี้โปรดักส์มันดีมากขึ้น บิลลี่เองก็ชอบไปเดินตามสถานที่ต่างๆ เราจะเห็นว่าสมัยนี้คนทำสีผมกันเยอะ เทรนด์ทำสีก็ยังมาอยู่เรื่อยๆ”
สีผิวกับสีผม
“จริงๆ มันยากมากเลยนะ เพราะสีผิวกับสีผมมันเป็นจุดที่สำคัญมาก แต่มันขึ้นอยู่กับช่างผมด้วยที่ต้องให้คำแนะนำได้ อันนี้เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์มาก อย่างบิลลี่เองเนี่ย เป็นคนผิวคล้ำก็จะโดนสอนตลอดว่าคนผิวคล้ำห้ามทำผมสีนี้นะ กาคาบพริก แต่เมื่อเราลองทำจริงๆ มันก็ได้นะ แต่บางทีผิวคล้ำมันก็มีบางเฉดสีทำให้เราดูคล้ำกว่าเดิม มันจะไปแย่งโทนสีผิวของเรา ถึงต้องมีช่างผมคอยให้คำแนะนำว่าทำแบบไหนถึงจะเหมาะสม บิลลี่ถึงบอกว่ามันพูดยาก สุดท้ายอาจจะต้องลองเอง”
ผมทำสีดูแลไม่ยากอย่างที่คิด
“ปัจจุบันการดูแลผมทำสีง่ายกว่าเดิมมาก แชมพู ทรีทเมนท์ ต่างๆ มันดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ รุ่นแม่เรา เมื่อก่อนหมักผมเป็นชั่วโมง เดี๋ยวนี้หมัก 15 นาที ก็เสร็จแล้ว วิวัฒนาการมันช่วยให้เราเสามารถดูแลผมได้เหมือนดูแลที่ร้าน อย่างทำสีสว่าง ทำสีทอง ผมจะแห้งมากๆ เดี๋ยวนี้เราสามารถมีผลิตภัณฑ์แบบเฉพาะผมทำสีไปดูแลง่ายๆ ขณะที่โปรดักส์ใหม่ๆ ก็ดีขึ้น เช่น ตอนกัดสีก็มีตัวบำรุงเข้าไปด้วย มันก้าวหน้ามาก ทำให้สนุกกับการเปลี่ยนสีผมได้มากขึ้น”
สำหรับ บิลลี่ นอกจากเป็นช่างผมมือทอง ยังพยายามผลักดันและยกระดับอาชีพช่างผม เพราะอยากให้อาชีพนี้เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้อย่างอายใคร “อาชีพช่างผมมันอาจจะไม่ได้เป็นอาชีพเลิศหรู แต่มันก็หาเลี้ยงตัวเองได้ แต่ก่อนเรากินก๋วยเตี๋ยว 30 บาท ตอนนี้ 60 บาท ราคาเพิ่มเท่าตัว แต่ตัดผมราคาเท่าเดิม มันไม่ได้เพิ่มขึ้นแบบที่ควรจะเป็น บิลลี่ รู้สึกว่ามันไม่แฟร์นะ คนที่ทำอาชีพตัดผมมันไม่มีโอกาสรวยเลยหรอ อยากเปลี่ยนตรงนี้ ก็เลยปลุกปั้นแบรนด์ตัวเองขึ้นมา แล้วตอนที่ทำก็รู้สึกว่าเราอยากทำร้านให้มีลูกค้าเข้ามาแล้วเราก็พูดคุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อจะให้ลูกค้าเห็นคุณค่าของช่างจริงๆ แต่ราคาก็ต้องสมเหตุสมผล แล้วลูกค้าก็แฮปปี้ออกไป และวันนี้เราทำได้แล้ว
ขณะที่ไม่ว่าลูกค้าตัดผมกับช่างคนไหนของทางร้าน ก็จะได้มาตรฐานที่เหมือนกัน “ร้านบิลลี่เราจะไม่รับช่างมาตัดเลย จะเก่งมาจากไหนก็ตาม เราต้องมาเริ่มใหม่ทั้งหมด โดยใช้เวลาทั้งหมด 2 ปีในการฝึกหัด เรามีโอกาสได้เรียนรู้ระบบเมืองนอก เราต้องเริ่มตั้งแต่พื้นฐาน ซักผ้า ถูพื้น สระผม งานเหล่านี้มันสอนเราเห็นคุณค่าของทุกคน”