ซุป’ตาร์ไทยกับภารกิจตะกายดาวที่บรอดเวย์ บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว

ซุป’ตาร์ไทยกับภารกิจตะกายดาวที่บรอดเวย์ บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว

ซุป’ตาร์ไทยกับภารกิจตะกายดาวที่บรอดเวย์ บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แม้จะคว้ามาเพียงตำแหน่งรองแชมป์ เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวปี 3 (พ.ศ.2549) แต่จากการทุ่มเทและพัฒนาฝีการร้อง การเต้น หรือการแสดงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ บี้ สุกฤษฎิ์ ขึ้นทำเนียบหนึ่งใน “ซุป’ตาร์เมืองไทย” ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี

ล่าสุดเขากำลังท้าทายตัวเองด้วยการบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังแดนมะกัน โดยหวังจะเป็นคนไทยคนแรกบนเวทีบรอดเวย์ SECRET จึงไม่พลาดจีบหนุ่มคนนี้มาเป็นปกของเราอีกครั้ง พร้อมอัพเดทเรื่องราวใหม่ๆ ให้ได้รู้กัน

รายการเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว นอกจากเป็นเวทีแจ้งเกิดแล้ว ยังให้อะไรกับบี้อีกบ้าง
เวทีเดอะสตาร์ทำให้ผมรู้และเข้าใจว่า การเป็นนักร้องนั้น ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เพราะกว่าที่คนหนึ่งคนจะร้องได้ เต้นได้ หล่อ สวย ดูดี อย่างที่เราเห็นกันในทีวี จะต้องผ่านการฝึกเยอะมาก เรื่องนี้ถ้าคนมีพรสวรรค์อยู่แล้วก็ถือว่าโชคดี แต่สำหรับผมแล้ว พรสวรรค์ไม่มีหรอกมีแต่พรแสวง (หัวเราะ)

ผมมันแค่เด็กบ้านๆ มาประกวดเวทีนี้ด้วยใจรักล้วนๆ อยากมีส่วนร่วมสักครั้งก็พอ ไม่คิดว่าจะได้เข้ารอบเลยเพราะความสามารถมีน้อยมาก ผมร้องเพลงได้เหมือนคนร้องคาราโอเกะ เต้นก็แค่โยกไปโยกมา เรื่องนับสเต็ปไม่ต้องพูดถึง นับไม่เป็นครับ แต่เมื่อได้รับโอกาสก็พยายามฝึก อย่างน้อยก็ต้องทำได้ให้ไม่อายเพื่อน

สุดท้ายได้รองแชมป์ขึ้นมา มีโอกาสได้ทำงานจริงๆ ผมจึงเป็นคนที่ถูกฝึกหนักที่สุดในบริษัท เริ่มตั้งแต่ศูนย์ทั้งร้อง เรียนเต้น การแสดง ซึ่งแต่ละอย่างก็ใช้เวลาเรียนตกวันละประมาณ 6 ชั่วโมงครับ แล้วก็เรียนกันนานเป็นเดือนๆ

ซ้อมหนักขนาดนี้มีท้อแท้บ้างไหมคะ
ผมไม่เคยมองภาพตัวเองมาก่อนว่าต้องเต้น เพราะคิดว่าแค่ร้องเฉยๆ ก็ยากแล้ว แต่ทีมงานให้ทำก็ต้องทำ อย่างท่าหัวใจในเพลง I Need somebody ซ้อมตั้งหลายวันกว่าจะได้ ทำได้ไม่พอ ต้องทำสวยด้วย โห ยากครับ แต่ตอนนั้น เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่ท้อ เพราะผมคิดอย่างเดียวว่า “เราต้องทำให้ได้ ทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อยกระดับครอบครัว”

เมื่ออัลบั้มนี้วางแผง ผมถึงได้รู้ว่า “เออ มันต้องเต้นจริงๆ ไม่อย่างนั้นไม่เกิด ดับชัวร์”

นอกจากนี้ผมยังต้องเรียนการใช้ชีวิตในวงการบันเทิงด้วย เพราะผมมาใหม่ยังไม่รู้กฎระเบียบต่างๆ บวกกับความคะนองตามวัย ชอบไปแซวไปแหย่คนนั้นคนนี้ บางทีก็ถึงขั้นลามปาม พี่บอย (คุณถกลเกียรติ วีรวรรณ) จะคอยเรียกผมเข้า ห้องเย็น ไปอบรมว่าทำแบบนี้ไม่ได้ ผิด แล้วพี่บอยก็จะสอนสิ่งที่ถูกต้องให้ โดยเฉพาะการรับมือกับชื่อเสียงเงินทองที่เข้ามา บางคนก็ไม่รู้ตัว เหลิง ไปกับสิ่งเหล่านั้น แล้วก็พาให้ชีวิตดำดิ่งลงในที่สุด ผมจึงบอกกับพี่บอยว่า “ถ้าผมเหลิง พี่บอกด้วยนะ” เพราะผมอยากเป็นเพื่อน เป็นมิตรกับทุกคน ไม่ชอบให้ใครมานินทา

ช่วงแจ้งเกิดใหม่ๆ จำได้ว่า บี้เจอกระแสข่าวด้านลบพอสมควร รู้สึกอย่างไร
ผมเป็นพวกหน้าด้านตั้งแต่เด็กๆ ไม่ค่อยสนใจ หรือแคร์อะไร พอทำงานแล้วตกเป็นเจอข่าว แรกๆ ก็คิดว่าช่างมันเพราะรู้สึกแค่ว่า เราเป็นแค่ตัวแถมของวงการ ไม่ได้เด่นดังอะไร เวลาเปิดหนังสือดารา ถ้ามีข่าวพี่อั้ม – พัชราภา แล้วมีข่าวผมเป็นแค่ติ่งน้อยๆ แม้จะข่าวนั้นจะไม่ดี ก็ยังรู้สึกว่า “ดีจัง” ที่ได้ลงเล่มเดียวกับพี่อั้ม ว่าแล้วก็ตัดเก็บไว้เป็นที่ระลึก

เชื่อไหมว่า ข่าวไม่เคยทำให้ผมนอยด์ หรือเครียดเลย ถ้าจะเครียดจริงๆ ก็เรื่องงานมากกว่าว่า “ทำไม่ได้ หรือไม่ก็โดนนายด่ามา” แม้ทุกวันนี้ข่าวกับผมก็ยังเหมือนอยู่คนละโลกกัน ใครจะเขียนอะไรก็เรื่องของเขา เราทำงานของเราให้ดีที่สุดก็พอ เพราะไม่มีใครเข้าใจใครได้หมดหรอกครับ

ทราบมาว่า ละครเพลงเรื่อง “Waterfall” คือหนึ่งในความเครียดที่บี้กำลังเผชิญ มีที่มาที่ไปอย่างไรคะ
ตอนพี่บอยบอกว่า เขาเลือกผมให้ไปร่วมแคส (คัดเลือก) บทนักแสดงนำในละครเพลง “Waterfall” ที่อเมริกา ใจหนึ่งผมก็ดีใจ เพราะถ้าผมทำได้ เมืองไทยก็จะเป็นที่รู้จักในด้านการแสดงมากขึ้น แล้วก็เหมือนไปเปิดตลาดให้น้องๆ รุ่นต่อ ไปด้วย แต่อีกใจก็คิดหนัก เพราะกลัวทนคิดถึงบ้านไม่ไหว ผมจึงจอเวลาตัดสินใจ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบปี ใกล้ถึงกำหนดโน่นแล้ว เขามาเร่งเอาคำตอบนั่นแหละครับ ผมถึงตอบตกลง “เอาก็เอา ไปลงเรือลำเดียวกัน ลุย”

ผมถือว่า โปรเจ็คท์ละครเพลงเรื่อง “Waterfall” เป็นงานที่หินที่สุดในชีวิตเลย เพราะรู้ภาษาอังกฤษก็แค่ระดับงูๆ ปลาๆ จึงต้องไปนั่งเรียนภาษาอังกฤษใหม่ เพราะการเล่นละครเพลงต้องออกเสียงทุกพยางค์แบบเป๊ะๆ และต้องเข้าใจความหมายของทุกคำที่เปล่งออกมาจริงๆ การแสดงก็ต้องเรียนใหม่เหมือนกัน เพราะแอ๊คติ้งแบบฝรั่งแตกต่างจากคนไทย ไหนจะฝึกตีความบท เรียนเต้น เรียนร้อง เรียกว่า ตอนนั้นชีวิตผมหนักมาก เรียกว่าร้องไห้หนักมาก (หัวเราะ)

ความเป็นซุป’ ตาร์จากเมืองไทยทำให้บี้มีข้อได้เปรียบในการทำงานที่นี่ หรือไม่อย่างไรคะ
ซุป’ตาร์ในเมืองไทยอาจมีแต่คนรุมล้อม เป็นจุดสนใจตลอดเวล แต่ที่นิวยอร์คจะซุปตาร์ หรือไม่ซุป’ตาร์ ก็เท่า กันหมด ตอนแรกกลุ่มนักแสดงฝรั่งเกือบยี่สิบชีวิตอาจฮือฮาว่า “โอ้ คุณเป็นสตาร์เมืองไทย ยินดีที่ได้ร่วมงานกัน” แต่แค่แป๊บเดียวเท่านั้น ความรู้สึกแบบนั้นก็หายไป แล้วก็มี “พลังงานลบ” เข้ามาแทนที่ ประมาณว่าแกเป็นใครมาจากไหน อยู่ดีๆ ก็มาเล่นเป็นตัวนำ ชั้นไม่ชอบแก ฯลฯ พลังงานนั้นรุนแรงมาก จนผมรู้สึกว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว

คิดไปคิดมาต้องเอาความอ่อนน้อมแบบคนไทยนี่แหละมาสู้ ปวารณาตัวไว้ก่อน ผมพูดกับทุกคนเลยว่า “สวัสดีครับ ผมบี้ครับ มาจากเมืองไทย ถ้าเกิดทำอะไรแล้วคุณไม่สบายใจ ไม่ถูกใจ บอกได้นะครับ ผมยินดี” พอบอกกันตรงๆ แบบนี้ ท่าทีพวกเขาก็ดูอ่อนลงมาบ้าง ยิ่งพอเริ่มงานปั๊บ ผมมีสถานะเท่าเทียมกับทุกคน โดนด่า โดนฝึก และอยู่ในกฏระเบียบเดียวกัน ไม่มีสิทธิพิเศษใดๆ พวกเขาก็ดูวางใจมากขึ้น และยิ่งเจอกันบ่อย พลังงานลบก็ค่อยๆ เบาบางลงเพราะ
เขาเห็นแล้วว่า ไอ้นี่มันไม่มีอะไร

แล้วที่ว่าร้องไห้หนักมากที่บี้พูดถึงตอนแรก เกิดขึ้นตอนไหนคะ
โปรเจ็คท์นี้ทำให้ผมเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง เพราะฝรั่งเขามีวัฒนธรรม มีวิธีคิดต่างจากเราหลายอย่าง เช่น ฝรั่งเน้นการตรงต่อเวลามาก ฝรั่งเป็นจอมอึด เขาจะไม่มีทางบอกใครว่า ทำไม่ได้เด็ดขาด และจะพยายามฝึกจนกว่าจะทำได้ แต่สำหรับผมแล้วไม่ครับ โชว์เลยว่าทำไม่ได้ (หัวเราะ) แล้วก็ขอให้ช่วยสอนผมด้วย

ฝรั่งพูดอย่างที่คิด แบบไม่แคร์ใคร มีวันหนึ่งระหว่างซ้อมผมกำลังซ้อมเต้น ผมเกิดจับตัวผู้หญิงผิดจังหวะ เขาหยุดเต้นทันทีเแล้วบอกผมว่า “ถ้าคุณยังเต้นไม่เป็น ไปซ้อมที่อื่นก่อนนะ แล้วค่อยมาเต้นกับฉัน ฉันไม่อยากเจ็บตัวอีก” ผมถึงกับอึ้งไปเลย เพราะเรื่องแค่นี้เราสามารถจะประนีประนอมกันได้ สรุปว่าวันนั้นแหละครับที่ผมร้องไห้ ร้องจนน้ำตากับหิมะแทบแยกกันไม่ออกเลย (หัวเราะ) รู้สึกว่า ไม่ไหวแล้ว ทุกอย่างมันเครียดกดดันไปหมด อยากจะถอดใจ

ตกเย็นพอพี่บอยเห็นผมนั่งจ๋องๆ อยู่คนเดียว ก็เข้ามาถามว่า “เป็นอะไร” แค่นั้นแหละผมน้ำตาไหลอีกรอบ พี่บอยจับมือแล้วถามอีกว่า “มีอะไรก็บอกมา เรามาด้วยกัน” ซีนเหมือนคู่เกย์ในร้านอาหารฝรั่งนั่งปลอบใจกันไม่มีผิด ผมก็เล่าๆ จนรู้สึกโล่งขึ้น ความคิดอยากถอดใจก็หมดไป ลงแรงไปเยอะแล้ว ต้องฮึดสู้อีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เราต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่เพราะฝรั่งชอบกดคนที่ดูจ๋องๆ เราก็ต้องไม่เป็นแบบนั้น เราต้องมีภาวะผู้นำ ไม่เกร็ง ไม่กลัว แล้วเล่นให้เต็มที่ไปเลย ผลปรากฏว่า พอเปลี่ยนเป็นแบบนี้ปั๊บ ทุกคนชอบใจปรบมือกันใหญ่ สรุปว่า ฝรั่งเริ่มยอมรับผมบ้างละ โล่งอก

ความคืบหน้าของโปรเจ็คท์ไปถึงไหนแล้วคะ
อยู่ในระหว่างซ้อมเพื่อรอเล่นให้นายทุน ผู้ชม และนักวิจารณ์ดู เนื่องจากคนกลุ่มนี้จะเป็นคนตัดสินใจว่า สนใจจะร่วมทุนกับโปรเจ็คท์นี้ไหม เนื่องจากการทำละครบรอดเวย์แต่ละเรื่องต้องใช้เม็ดเงินลงทุนสูงมาก ถ้าเทียบกับบ้านเราก็สูงกว่าเป็น 10 เท่าครับ ดังนั้นบริษัทผู้สร้างจึงไม่สามารถลงทุนเองได้ทั้งหมด

ทีมงานจะกำหนดโปรแกรมเล่นออกมาเป็นช่วงๆ อย่างช่วงปลายพฤษภา – ต้นมิถุนานี้ ผมต้องไปเล่นที่แอลเอ 1 เดือนเต็ม พอต้นๆ ตุลาก็ไปเล่นที่ซีแอทเทิลต่ออีก 1 เดือน ถ้าผลตอบรับทั้งสองที่นี้ดีก็ไปนิวยอร์ก เตรียมจ่อคิวที่บรอดเวย์ต้นปี 2016 เลย แต่ถ้าไม่ได้ ทุกคนก็แยกย้ายไปตามทางเป็นอันจบ

ถ้า “ไม่ได้ไปต่อ” บี้เตรียมใจรับมือกับความผิดหวังไว้หรือไม่ อย่างไรคะ
ความผิดหวังที่มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในโปรเจ็คท์นี้ ตราบใดที่ยังไม่เริ่มเปิดการแสดง แม้กระทั่งว่าคุณยังไม่พร้อมหรือยังไม่ดีพอ เขาสามารถเปลี่ยนตัวได้เสมอ ดังนั้นผมจึงต้องซ้อมให้เต็มที่เรียกว่า ตั้งแต่สิบโมงเช้ายันหกโมงเย็นผมถวายชีวิตให้เลย แต่หลังจากนั้นเวลาเป็นของผมนะ (หัวเราะ) หลังจากนั้นถ้าโปรเจ็คท์นี้ไม่ได้ไปต่อ หรือผมไม่ได้ไปต่อแรกๆ ก็คงเฮิร์ทบ้างแหละครับ แต่ต้องเคารพการตัดสินใจของที่นี่เป็นหลักและยอมรับมันให้ได้

แต่ถ้าหากโปรเจ็คท์นี้ได้ไปถึงบรอดเวย์จริงๆ ผมคงภูมิใจที่ทำสำเร็จ และดีใจกับพี่บอย ดีใจกับคนไทยด้วย เพราะนี่เป็นความฝันของพี่บอย แกลงทุนลงแรงไปเยอะมากๆ ทุกวันนี้ยังช่วยมาติวภาษาอังกฤษให้ผมอยู่เลย

ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ประสบการณ์ที่ผมได้รับกลับมาคุ้มค่ามากๆ มีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ เราอาจเคยฟังคนอื่นเล่าการทำงานต่างแดนมาก็เยอะ แต่ก็ไม่เท่ากับการเจอด้วยตัวเอง การล้ม เจ็บ ลุก ทำให้เราถึงเข้มแข็งเพิ่มขึ้นเหมือนได้ฉีดวัคซีนสริมภูมิคุ้มกัน และผมมั่นใจว่า วัคซีนจากนิวยอร์กชุดนี้แรงสุดๆ

อย่างที่รู้กันว่า บี้เคยบวชมาแล้วถึง 2 ครั้ง เพราะอะไรคะ
ผมบวชเรียนครั้งแรก เมื่อครบเบญจเพสในพ.ศ.2553 ครั้งนั้นเหมือนการเปิดโลกพุทธศาสนา ทำให้คนที่เคยเป็นชาวพุทธแค่ในบัตรประชาชนอย่างผมเริ่มมีธรรมะในหัวใจ รู้จักศีล สมาธิ และปัญญา มีสมาธิและสติในการทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดความรู้สึก อยากจะบวชอีก จะได้มีเวลาศึกษาธรรมะมากขึ้น

การบวชครั้งที่สองไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะคิวงานผมไม่ลงตัวเสียที กว่าจะจัดการทุกอย่างแล้วเสร็จ เวลาก็ผ่านไปถึง 3 ปี (พ.ศ.2556) ผมเลือกไปบวชที่วัดอินทาราม พระนครศรีอยุธยาเหมือนเดิม

การบวชครั้งนี้ให้อะไรผมมากมาย โดยเฉพาะ “การทดสอบอารมณ์” ที่พระอาจารย์เน้นเป็นพิเศษ ทุกๆ วันผมต้องเข้าที่ประชุมสงฆ์ ซึ่งบางทีก็มีฆราวาสร่วมด้วย เพื่อฟังพระอาจารย์ต่อว่าสารพัดเรื่อง โดยที่ผมทำได้แค่นั่งก้มหน้านิ่งเพราะบางเรื่องก็ทำไปโดยไม่รู้ตัวจริงๆ บางวันหนักหน่อยผมแทบร้องไห้ทั้งในชุดพระเลย เจออย่างนี้หลายวันเข้า ผมก็เครียดนอนไม่หลับจนต้องถามทีมงานว่า “ที่ผ่านมาผมทำตัวแย่ขนาดนั้นเลยหรือ”

จนช่วงใกล้จะสึกถึงได้รู้ว่า 7-8 วันที่ผ่านมา พระอาจารย์ต้องการสอนให้ผมเห็นทุกข์จริงๆ เพราะที่ผ่านมา ผมอยู่ในจุดที่มีความสุข มีสิ่งแวดล้อมที่ดีมาตลอด ถึงจะทุกข์บ้างแต่ก็ยังไม่หนักหนาอะไร เมื่อเป็นเช่นนี้จะเห็นธรรมะได้ยาก พระอาจารย์จึงอยากให้ผมฝึกรับมือกับความทุกข์ดูบ้าง เพราะถ้าแค่นี้ยังรับไม่ได้ แล้วชีวิตที่เหลืออยู่ก่อนจะตายจะเป็นอย่างไร ผมยังได้เรียนรู้เรื่องการฝึกสมาธิขั้นสูงขึ้นไปอีก เมื่อมีสมาธิก่อนเข้าฉาก ผมจะสังเกตเห็นอารมณ์ของคู่ที่รับส่งบทให้ได้ละเอียดขึ้น ทำให้สามารถต่อบทกลับไปได้ในอารมณ์เดียวกัน ไม่แข็งทื่ออย่างที่เคยเป็น

ผมถือว่า การบวชทั้งสองครั้งเป็นประโยชน์กับชีวิตผมมากๆ มากจนผมรู้สึกว่า อยากขอบคุณที่ได้เกิดมาอยู่ในศาสนาพุทธ แล้วก็มีโอกาสได้บวช ได้เรียนรู้ชีวิต รู้จักโลก รู้จักกิเลส และเข้าใจมนุษย์โลกคนอื่นๆ ในทางที่ถูกต้องมากขึ้น ฉะนั้นเวลาที่เราเจอปัญหาเราจะรู้ทันใจตัวเอง รู้ทันคนอื่น ใจจะไม่ถูกครอบงำ

แล้วจะมีโอกาสบวชครั้งที่สามไหมคะ
เวลาบวชมันสงบมากครับ เหมือนเราไปอยู่ในโลกอีกใบ เชื่อไหมครับว่า ตอนสึกครั้งที่สอง ผมร้องไห้เลย ไม่รู้ว่าร้องเพราะปิติ หรือเสียใจ ที่ต้องออกไปเจอโลกวุ่นๆ อีก แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปทำหน้าที่ให้ครบอยู่ดี ทิ้งไม่ได้

ดังนั้นถ้าถามว่าอยากบวชครั้งที่สามไหม ตอบเลยว่า อยากบวชครับ แต่อาจเป็นตอนที่อายุเยอะแล้ว ตอนนี้เราก็นั่งสมาธิ เดินจงกรม อ่านหนังสือธรรมะอยู่ที่บ้านหรือขณะที่ทำงานไปก่อน ไม่จำเป็นต้องโกนหัวเข้าวัดอย่างเดียวเพราะการเป็นพระอยู่ที่ใจ ไม่ใช่แค่ผ้าจีวร หรือการไม่มีผม ฆราวาสบางคนที่มีศีลครบก็ควรค่าแก่การศรัทธาได้เช่นกัน

อายุย่างเข้าเลข 3 แล้ว ความรักในแบบฉบับบี้เป็นอย่างไรบ้าง
“ความรักคือการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน” แรกๆ ก็รู้สึกเฉยๆ กับประโยคนี้นะ แต่พอนานไปก็เริ่มเห็นว่ามันจริงแฮะ ถ้าเราให้เขาแล้ว เราหวังสิ่งตอบแทน มันก็ไม่ต่างจากความโลภ เช่น ผมให้ความรักคุณไป คุณก็ให้คืนมาบ้างสิ แต่พอคุณไม่ให้ ผมก็เกลียดคุณเข้าแล้ว ถ้าคู่ไหนรู้สึกอย่างนี้ ผมมองว่ามันไม่ใช่ความรัก

ถ้าเกิดผมรักคุณ ถ้าคุณสนใจผมก็ดี ไม่สนใจก็ไม่เป็นไร เพราะผมแค่อยากทำให้คุณยิ้ม มีความสุข แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องครอบครองก็ได้ นี่คือความรักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน จากความสุขเล็กๆ น้อยๆในวันนี้ ถ้าโชคดีเราก็
อาจได้รับความรักกลับมา แต่ถ้าโชคร้ายก็ไม่เป็นไรครับ ไม่มีก็ไม่มี (ยิ้ม) ตอนนี้ดูแลคุณพ่อคุณแม่ให้ดีที่สุดก่อน

พูดถึงคุณพ่อคุณแม่ ทุกวันนี้ท่านภูมิใจในตัวบี้มากน้อยแค่ไหน
ผมเติบโตมาในครอบครัวข้าราชการ ฐานะปานกลาง แค่พออยู่พอกิน ผมถึงได้เลือกเรียนวิศวะ เพราะจบออกมา แล้วจะได้เป็นวิศวกร มีเงินเดือนสูงๆ ตอนผมแอบคุณแม่ไปประกวดเดอะสตาร์ ท่านไม่ค่อยพอใจ เพราะคิดว่าอาชีพนี้มันเต้นกินรำกิน ไม่มั่นคง เป็นวิศวกรดีกว่า

ผมก็พยายามพิสูจน์ให้เห็นว่า การทำงานในวงการบันเทิงไม่ได้แย่ และสามารถเลี้ยงชีพได้จริงๆ ขณะเดียวกันผมก็ต้องไม่ทิ้งเรื่องเรียนด้วย ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วย จนกระทั่งเรียนจบ

สิ่งเหล่านี้แหละครับที่ผมว่า ท่านภูมิใจในตัวผมที่สุดแล้ว

ส่วนเรื่องอื่นๆ คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยเรียกร้องอะไร มีแต่ผมที่ต้องคอยยัดเยียดให้ เพราะอยากให้ท่านได้อยู่บ้านหลังใหม่ที่สะดวกสบายกว่าเดิม มีรถที่ปลอดภัยขับ มีอาชีพเสริม ได้ทำงานอดิเรกที่ชอบ ถ้ามีเวลา ผมกลับไปบ้านที่เชียงใหม่ก็จะพาไปท่านไปกินข้าว ซื้อของ เดินเล่น หรือถ้าเวลาลงตัวก็ยกก๊วนพากันไปเที่ยว

เอาเป็นว่า ทุกวันนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวเราดีกว่าเดิมมากครับ ซึ่งตรงนี้ต้องขอขอบคุณทุกโอกาส ทุกความปรารถนาดีที่เข้ามาหาผมด้วย ผมว่า คุณพ่อคุณแม่ผมน่าจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในประเทศไทยแล้วนะครับ

ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา บี้ผ่านการทำงานมาเกือบทุกแขนงในวงการบันเทิงแล้ว และกำลังก้าวไปไกลถึงบรอดเวย์ด้วย คิดว่า ตัวเองประสบความสำเร็จรึยังคะ
ผมไม่ได้มองว่า สิ่งที่ผ่านมา หรือสิ่งที่กำลังทำอยุ่มันเป็นความสำเร็จนะ ผมกลับมองว่า งานทุกชิ้นคือการเสริมสร้างให้ชีวิตมีพื้นฐานที่มั่นคง แข็งแรงมากกว่า หรือ ถ้าพูดให้เท่ๆ แบบวิศวกรก็ต้องบอกว่า เหมือนการเสริมเหล็กกล้าเข้าไปในโครงสร้างเพราะลึกๆ แล้วธรรมชาติของผมเป็นคนขี้เกียจ ชีวิตเนิบๆ ชอบอยู่เฉยๆ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่คิดว่า “สำเร็จแล้ว เพดานตัน” ผมก็พอสิ ดังนั้นคำว่า ความสำเร็จจึงไม่ได้มีอยู่ในหัวของผมเลย ไม่มีเพดานสำหรับความสำเร็จครับ มีแต่ว่า งานนี้ดี - งานนี้เจ๋ง - โห ไม่เคยทำแล้วกระแสตอบรับดีขนาดนี้มาก่อน ดีอ่ะ ผมคิดแค่นั้น จบ แล้วก็พัฒนาตัวเองต่อไป

โลกนี้ยังมีอะไรที่เราไม่รู้อีกมาก มีเทคนิคใหม่ๆ และมีคนเก่งๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ยิ่งถ้าได้เปิดโลกแล้ว เราจะยิ่งรู้เลยว่า ตัวเราที่คิดว่าใหญ่ จริงๆ แล้วเล็กนิดเดียว ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ

มองตัวเองไว้อย่างไร หากวันหนึ่งบี้ไม่ได้เป็นซุป’ ตาร์ อย่างในวันนี้
ผมโชคดีที่ไม่เป็นคนยึดติด ไม่ค่อยอยากได้อะไรเท่าไหร่ สำหรับผมแล้ว “ซุป’ตาร์” เป็นตำแหน่งที่คนอื่นมอบให้ซึ่งผมก็รู้สึกขอบคุณที่ได้รับเกียรตินั้น แต่ถ้าในความรู้สึกส่วนลึกจริงๆ แล้ว ผมรู้สึกเฉยๆ กับเรื่องยศ หรือตำแหน่งแบบนี้ ดูกันที่ผลงานดีกว่า

อีกอย่างผมก็เป็นคนชอบสังเกต ดารานักร้องหลายคนที่เราเห็นมาตั้งแต่เด็กว่าเขาดังมาก แต่วันนี้เขาหายหน้าไปแล้ว ผมเข้าใจว่า คนเรามีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา วันนี้ยังมีโอกาสก็ทำให้เต็มที่ ถ้าวันหน้าไม่มีโอกาส เราก็ต้อง
ยอมรับ แล้วไปทำในสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองแทน

บี้มีแนวโน้มว่าจะกลับไปเป็นวิศวกรอย่างที่เรียนมาไหมคะ
นั่นคืออย่างแรกที่ไม่คิดครับ (หัวเราะ) ผมคงไม่กลับไปเป็นวิศวกรแน่ๆ เพราะคืนความรู้อาจารย์ไปหมดแล้ว หนังสือก็บริจาคไปหมด ตอนนี้สิ่งที่ยังพอทำได้ก็แค่เปลี่ยนหลอดไฟกับยางรถยนต์เอง (หัวเราะ) แล้วก็โชคดีที่ความรู้ด้านวิศวะที่ร่ำเรียนมายังติดหัวอยู่บ้าง ทำให้ผมมีวิธีคิด การเรียบเรียงอย่างเป็นระบบ รู้ว่าควรทำอันไหนก่อนอันไหนหลัง วางแผนอย่างไร

ดังนั้นวันหนึ่งหลังจากคุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่บนโลก ผมไม่ได้อยู่ในวงการฯ แล้ว ผมคงไปอยู่วัด สละทางโลก แต่จะอยู่ในฐานะฆราวาส หรือพระขึ้นอยู่กับว่า สภาพจิตใจของเราในเวลานั้นเป็นอย่างไร แข็งแรงแค่ไหน

บี้จะทำภารกิจตะกายดาวที่บรอดเวย์สำเร็จหรือไม่ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรอลุ้นกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ วันนี้ชื่อของบี้คงเข้าไปอยู่ในหัวใจใครหลายๆ คนแล้ว ในฐานะผู้ชายธรรมดาที่มาพร้อมกับพรแสวง

SECRET BOX
ไม่มีเพดานสำหรับความสำเร็จ เพราะทุกอย่างสามารถพัฒนาได้ไม่หยุดยั้ง

บี้ - สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook