เช็กด่วน! 10 สัญญาณเตือนบ่งบอกว่าคุณมีหนี้สินเกินตัว
เราอยู่ในยุคที่มีคนพูดให้โก้เก๋ว่า “คนมีหนี้คือคนมีเครดิต” และกลายเป็นว่าในสังคมปัจจุบัน คนมีเครดิตกันล้นเมือง พอกับหนี้สินที่ล้นพ้นตัว ถ้าวันนี้คนมีเครดิตอย่างคุณ เริ่มไม่สามารถจ่ายหนี้ที่ไปก่อเอาไว้ได้ หรือจำนวนหนี้ที่มีอยู่นั้นสูงจนคุณไม่กล้าจะดูตัวเลข และแม้ว่าคุณจะสามารถจ่ายหนี้ที่มีอยู่ได้ทุกเดือน แต่ถ้าจำนวนหนี้ที่สะสมไว้พอกพูนขึ้นทุกวัน อนาคตก็จะกลายเป็นหนี้ที่คุณคาดไม่ถึง ดังนั้นมาดู 10 สัญญาณเตือนภัยที่บ่งบอกว่าคุณกำลังมีหนี้สินล้นพ้นตัวกันดีกว่า ถ้าอ่านแล้วคุณมีเกิน 5 ข้อขึ้นไป ก็ต้องบอกตัวเองแล้วล่ะว่าถึงเวลา เคลียร์หนี้สินที่ล้นพ้นตัวกันแล้ว
1. คุณไม่รู้ยอดหนี้ของคุณว่ามีอยู่เท่าไร
หลายคนที่เป็นหนี้ และจ่ายหนี้ในทุกเดือน แต่ไม่เคยรวมยอดหนี้ ไม่เคยรู้ว่ายอดหนี้ตัวเองมีอยู่เท่าไร รู้ไว้เถิดว่าหนี้ของคุณจะท่วมตัวแบบที่คุณคาดไม่ถึง ดังนั้นก่อนที่คุณจะรับมือกับหนี้ก้อนใหญ่ไม่ไหว คุณควรจะรวมยอดหนี้ และรู้ยอดหนี้ในบัตรแต่ละใบ ไม่ใช่แค่บัตรเครดิต แต่หมายรวมถึงบัตรกดเงินสด บัตรผ่อนสินค้า รวมไปถึงยอดผ่อนรถ ผ่อนบ้านของคุณ ว่าแต่ละเดือนนั้นคุณต้องชำระเป็นเงินเท่าไร และมีค่าใช้จ่ายใดที่เกินความสามารถคุณไปบ้าง
2. มีเงินไม่พอจ่ายหนี้ และเริ่มจ่ายหนี้ที่มีอยู่ช้าลง
ถ้ายอดหนี้สูง และมีรายได้ต่ำกว่าหนี้สินที่มีอยู่ แน่นอนว่าคุณต้องเผชิญกับสภาวะจ่ายหนี้ช้าถึงจ่ายไม่ได้เลย และแน่นอนว่าส่งผลต่อสถานะลูกหนี้ของคุณอย่างแน่นอน ดังนั้นก่อนที่จะต้องตกอยู่ในสถานะลูกหนี้ชั้นเลว ขอให้สำรวจรายจ่ายของตนเองในแต่ละเดือน ว่าคุณมีความสามารถจ่ายหนี้ได้ขนาดไหน และหนี้ที่ไม่สามารถจ่ายได้ตามกำหนด คุณควรเดินเข้าไปหาเจ้าหนี้เพื่อผ่อนผัน มากกว่าหนีหนี้ไปเลย
3. คุณต้องเจอกับโทรศัพท์ติดตามทวงหนี้ทุกเดือน
ขอให้รู้ไว้ว่าเมื่อใดที่เจ้าหนี้เริ่มใช้บริการบริษัทติดตามทวงหนี้ นั่นแสดงว่าคุณมีปัญหาการใช้หนี้แล้ว และถึงแม้ว่าคุณจะพยายามหลีกเลี่ยงการรับโทรศัพท์เพื่อติดตามทวงหนี้ คุณก็จะเจอการฟ้องร้อง เพื่อเร่งรัดหนี้สินอยู่ดี และถ้าเจ้าหนี้ของคุณชนะคดี (ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงอยู่แล้ว) คุณต้องจ่ายทั้งหนี้ที่คงค้างพร้อมดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทางศาลทั้งหมด ดังนั้นควรจัดการหนี้ที่มีให้ดีที่สุด อย่าให้ถึงขั้นตอนขึ้นโรงขึ้นศาลกันเลย
4. เริ่มยืมเงินคนรอบข้าง หรือกดเงินจากบัตรอีกใบเพื่อไปจ่ายหนี้
ถ้าถึงขั้นตอนนี้แล้วยังไม่ยอมรับว่าหนี้สินล้นพ้นตัว ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว เพราะการยืมเงินหรือกดเงินจากบัตรอื่นเพื่อไปจ่ายบัตรอีกใบ เป็นเพียงการหนีปัญหาชั่วคราว ไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง เพราะหนี้ก้อนเดิมยังคงอยู่ แต่ที่เพิ่มเติมคือดอกเบี้ยก้อนใหม่ เหนืออื่นใดการยืมเงินคนใกล้ชิด คือการทำให้คุณสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีไปในทันทีที่คุณเอ่ยปากขอหยิบยืม
5. เริ่มนอนก่ายหน้าผาก เพราะกังวลในหนี้สินที่มี
คนที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้น มีชีวิตที่ไม่ได้สุขสบายนัก เพราะนอกจากกังวลกับยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ยังต้องกังวลกับการถูกติดตามทวงหนี้ หรือการหาเงินเพื่อมาใช้หนี้ในเดือนต่อไป และการมีหนี้คือการเพิ่มความเครียดอย่างหนึ่งในชีวิต ดังนั้นการวางแผนใช้หนี้ที่ดีก็จะทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้นในระดับหนึ่งเหมือนกัน
6. ปัญหาการเงินของคุณเริ่มส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
คนมีหนี้สินล้นพ้นตัว จะมีความเครียดและความกังวลติดตัวอยู่ตลอดเวลา ย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ยิ่งบางคนถูกติดตามหนี้สินถึงที่ทำงาน ก็ยิ่งทำให้ได้อาย เหนืออื่นใด คนมีหนี้ต้องการเงินไปใช้หนี้ก็ไม่สามารถสูญเสียงานประจำได้ และทำให้ต้องอดทนทำงาน แม้ว่าจะไม่ชอบแค่ไหนก็ตาม
7. คุณต้องเอาเงินเก็บทั้งหมดที่คุณมีเพื่อมาใช้หนี้
การมีเงินออมอยู่หนึ่งก้อน ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นหนี้เท่ากับจำนวนเงินออมนั้นได้ เพราะนั่นหมายความว่าคุณต้องเอาเงินออมทั้งหมดที่คุณมีมาใช้หนี้ทั้งหมดที่คุณก่อ และนั่นหมายความว่าคุณมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน อย่าได้หาทำแบบนี้โดยเด็ดขาด
8. คุณเริ่มหาหนทางคลายเครียดจากหนี้สินที่มีอยู่
ความเครียดจากหนี้สินนั้นเป็นเรื่องที่หาทางระบายได้ยาก หลายคนจึงพึ่งการดื่มแอลกอฮอล์เป็นการดับทุกข์ที่เกิดจากหนี้ แต่นั่นไม่ใช่หนทางดับทุกข์ที่แท้จริง เพราะถ้าคุณเป็นหนี้ ทางที่ดีที่สุดคือตั้งสติ และ ยอมรับความเป็นจริง ความเป็นจริงที่ว่าคือ คุณต้องยอมเสียสิ่งที่มีอยู่ที่เกินความจำเป็น เพื่อทำให้หนี้ลดลง และทำงานอย่างตั้งสติมากที่สุดเพื่อหาเงินมาใช้หนี้
9. คุณต้องใช้บัตรเครดิตเพื่อดำรงชีวิตอยู่
ถ้าคุณต้องใช้บัตรเครดิตในการซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน นี่คือสัญญาณเตือนสำคัญว่าคุณกำลังเข้าสู่ สถานะหนี้สินล้นพ้นตัว เพราะคุณเริ่มไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะใช้ในชีวิตประจำวัน ทางแก้ไขคือเพิ่มรายได้ และหาทางชำระหนี้ให้ได้มากที่สุด
10. คุณซื้อของแล้วต้องคอยหลบไม่ให้คนที่บ้านรู้
การไม่บอกสถานะทางการเงินให้คู่ชีวิตหรือคนที่คุณรักได้รับรู้ หรือต้องคอยซื้อของแล้วหลบไม่ให้ใครเห็น เท่ากับคุณกำลังปิดบังค่าใช้จ่ายของคุณเอง และน่าจะเป็นค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ที่ทำให้คุณมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจงคิดทุกครั้งที่จะกดสั่งของ หรือซื้อของจนเกินความจำเป็น เพราะนั่นจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของหนี้ก้อนใหญ่ที่คุณไม่รู้ตัว