รู้จัก "ไขมันพอกตับ" ภัยเงียบที่เกิดได้ แต่รักษาได้ง่ายเช่นกัน
อีกภาวะหนึ่งของร่างกายที่หลายคนอาจจะนึกไม่ถึงนั่นคือ การเกิดไขมันพอกตับ ซึ่งสามารถเกิดได้กับทุกคน โดยวันนี้ Sanook Men จะมาเผยว่าไขมันพอกตับเกิดจากอะไร และมีวิธีดูแลอย่างไร พร้อมแล้วมาดูกัน
ไขมันพอกตับคืออะไร
ไขมันพอกตับ คือ ภาวะที่มีไขมันสะสมในเซลล์ตับมากเกินไป โดยทั่วไปแล้ว หากมีไขมันสะสมในตับมากกว่า 5-10% ของน้ำหนักตับ ก็จะถือว่าเป็นไขมันพอกตับ ซึ่งภาวะนี้มักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่หากปล่อยทิ้งไว้ อาจนำไปสู่โรคตับแข็ง และมะเร็งตับได้
ประเภทของไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ และไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ ซึ่งสาเหตุของไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ มีหลายปัจจัย ดังนี้
-
โรคอ้วน: ภาวะน้ำหนักเกิน หรือ ดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 25 เป็นสาเหตุสำคัญของไขมันพอกตับ เนื่องจากไขมันส่วนเกินไม่ได้ถูกเก็บสะสมไว้ใต้ผิวหนังเพียงอย่างเดียว แต่ยังแทรกซึมเข้าไปในอวัยวะภายใน รวมถึงตับ ด้วย
-
โรคเบาหวาน: ผู้ป่วยเบาหวาน ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายต้องสลายไขมันมาใช้เป็นพลังงานแทน ซึ่งกระบวนการนี้ทำให้เกิดการสะสมของไขมันในตับ
-
ไขมันในเลือดสูง: โดยเฉพาะภาวะไตรกลีเซอไรด์สูง เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดไขมันพอกตับ เนื่องจากไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ถูกขนส่งไปยังตับ
-
พฤติกรรมการกิน: การรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูง โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน และแป้งสูง เป็นประจำ เช่น น้ำหวาน ขนมหวาน อาหารทอด อาหารแปรรูป ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดไขมันพอกตับ
-
ปัจจัยอื่นๆ: เช่น พันธุกรรม การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว การใช้ยาบางชนิด ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
การดูแลตัวเองและการรักษา
อย่าเพิ่งตกใจหากตรวจพบเราสามารถดูแลตัวเองและป้องกันการเกิดหรือรักษาให้หายได้ โดยวิธีดังนี้
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: ลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดแอลกอฮอล์ พักผ่อนให้เพียงพอ ควบคุมโรคประจำตัว
- พบแพทย์: เพื่อรับการวินิจฉัย ประเมินความรุนแรง และรับคำแนะนำการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ยาในบางกรณี
ไขมันพอกตับเป็นภัยเงียบที่สามารถป้องกันได้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดไขมันพอกตับ และภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจตามมา