“ไก่ กะละมัง” ศิลปินไทยหนึ่งเดียวที่ได้เล่นคอนเสิร์ตหน้า “ พระราชวังบักกิงแฮม ”

“ไก่ กะละมัง” ศิลปินไทยหนึ่งเดียวที่ได้เล่นคอนเสิร์ตหน้า “ พระราชวังบักกิงแฮม ”

“ไก่ กะละมัง” ศิลปินไทยหนึ่งเดียวที่ได้เล่นคอนเสิร์ตหน้า “ พระราชวังบักกิงแฮม ”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในขณะที่คุณกำลังอ่านข้อความนี้ หนุ่มกระบี่วัย 32 ปี “สนิท เดี้ยมบุตร” หรือ “ไก่ กะละมัง” กำลังเตรียมตัวเดินทางไปเล่นคอนเสิร์ต “Polo Escape Cup” คอนเสิร์ตที่จัดขึ้นสำหรับนักกีฬาโปโลจากทั่วโลก แต่ครั้งนี้กลับยิ่งใหญ่และน่าภูมิใจตรงที่ งานจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่หน้าพระราชวังบักกิงแฮม ประเทศอังกฤษ และเขาเป็นศิลปินไทยเพียงคนเดียวที่มีโอกาสขึ้นแสดงดนตรีบนเวทีนั้น

“ไก่ กะละมัง” ไม่ใช่ศิลปินป๊อบ ร็อกเกอร์ หรือบอยแบนด์ แต่เขาเป็นนักดนตรีร้องเพลงประจำร้านอาหาร และเริ่มเป็นที่รู้จักหลังออกรายการตีสิบเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน แต่กว่าจะมีวันนี้ วันที่ชีวิตเปลี่ยนจากเด็กกำพร้า ขโมยเงินเพื่อน ไม่มีข้าวกิน มาสู่การมีรายได้ 6 หลักต่อเดือน เป็นเจ้าของบ้านเดี่ยวราคา 10 ล้าน และเดินทางไปเล่นคอนเสิร์ตต่างประเทศบ่อยครั้ง สำหรับเขามันไม่ง่ายเลย

5 ขวบ…ชีวิตเหมือนแพแตก
หลังจากคุณพ่อคุณแม่เสียชีวิตลงในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน คุณไก่ไม่เคยเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่จังหวัดกระบี่อีกเลย เขาจึงกลายเป็นเด็กชายวัย 5 ขวบที่ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนประจำ โดยมีคุณครูท่านหนึ่ง ดูแลเหมือนเป็นคุณพ่อโดยสายเลือด

“ตอนนั้นจำความได้นิดหน่อยแต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง พอครอบครัวขาดเสาหลัก ทุกคนก็แยกย้าย คนที่จะมารับผมกลับบ้านทุกปิดเทอมก็ไม่มีแล้ว ผมเป็นที่รู้จักกันว่าปิดเทอมแล้วไม่ได้กลับบ้าน ต้องอยู่โรงเรียนแทนอยู่บ้าน แต่ก็มีครูสันติ สุวรรณสังข์คอยดูแล ผมต้องขอบคุณอาจารย์ท่านนี้จริงๆ”

กระทั่งขึ้นชั้นเรียนในระดับมัธยมศึกษา คุณไก่เริ่มสนใจดนตรีเนื่องจากเห็นรุ่นพี่ร่วมสถาบันเล่นกีตาร์แล้วเท่ จนตนเองต้องยอมซักผ้าของรุ่นพี่คนนั้น 1 กะละมังเพื่อแลกกับการยืมกีตาร์มาซ้อมเป็นเวลา 1 ชั่วโมง และนี่คือที่มาของฉายา “ไก่ กะละมัง” เช่นทุกวันนี้

“ผมเห็นรุ่นพี่แบกกีตาร์มาทุกวัน เลยชอบเพราะมันเท่ ขอให้เขาสอน แต่เขาก็ใช้ให้ผมเอาผ้าไปซักให้เขาทุกครั้งๆ ละ 1 กะละมัง ถึงค่อยเอากีตาร์ไปเล่น ตอนนั้นผมยืมเขาเล่นเกือบทุกวัน ตอนกลางคืนเพื่อนคนอื่นหลับหมดแต่ผมไม่นอน นั่งเล่น เหมือนมีแรงดลใจบางอย่างทำให้ผมต้องเล่น”

จากความรักและฝึกฝนฝีมือด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เวลาผ่านไปเป็นปีๆ คุณไก่จึงสามารถเล่นเพลงแรกได้สำเร็จ ซึ่งเป็นที่มาของการถูกคัดเลือกเป็นตัวแทนโรงเรียนให้เข้าร่วมแข่งขันดนตรีโฟล์คซองประจำจังหวัด แม้ครั้งแรกจะไม่ได้รางวัล แต่เขากลายเป็นนักดนตรีรุ่นบุกเบิก และทำให้โรงเรียนได้รับรางวัลในปีถัดๆ มา

เมื่อชีวิตก้าวย่าง…มาถึงทางแยก
หลังจบมัธยมศึกษาตอนปลายคุณไก่สอบติดโควตามหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ประสานมิตร วิทยาเขตสงขลา หรือปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยทักษิณ แม้ตอนแรกมีวี่แววว่าจะไม่ได้เรียนต่อเพราะขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่ก็ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 1,000 บาทจากอาจารย์ท่านเดิมเพื่อเดินทางมาลงทะเบียน

“ผมได้เงินจากอาจารย์สันติมาพันบาท แต่ไม่พอเพราะเทอมแรกต้องใช้เงินประมาณ 7-8 พัน ผมเลยต้องไปหาร้านอาหารเล่นดนตรี ก็ได้เงินมาอีก 4 พัน มันก็ยังไม่พอ พอดีเจอรุ่นพี่โรงเรียนเก่ามาเรียนที่นี่เหมือนกันแล้วเขาให้ยืมอีก 4 พัน ผมถึงได้ลงเรียน”

เพราะขัดสนเงินทอง ทำให้คุณไก่หาทางออกด้วยการขโมยเงินเพื่อนร่วมหอพัก แต่มิวายถูกจับได้ จนทำให้รู้สึกว่าตนเองแปลกแยกและเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจเลิกเรียนในระหว่างขึ้นชั้นปีที่ 2
“ตอนนั้นผมไม่มีเงินกินข้าว มันเลยจำเป็นต้องทำ พอเพื่อนๆ จับได้ เขาก็ไม่พอใจ ไม่ชอบเรา ผมเลยมีปม ผมอายมาก ตอนนั้นมหาวิทยาลัยก็เข้ามาช่วย ให้เงินผมใช้รายวันๆ ละ 80 บาท เพื่อนบางคนก็เห็นใจ แต่บางคนก็ไม่เข้าใจ ช่วงนั้นผมอดบ้าง มีกินบ้าง”

เมื่อเริ่มรู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะกับการเรียน จึงค่อยๆ ปลีกตัวออกไปเล่นดนตรีในร้านอาหารเพื่อหารายได้เสริม เพราะต้องเล่นดนตรีตอนกลางคืน คุณไก่จึงขาดเรียนบ่อยครั้ง จนในที่สุดเขาตัดสินใจเดินออกจากระบบการศึกษา เพื่อทำงานเลี้ยงชีพตนเองอย่างจริงจัง

ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาเดียวกับที่คุณไก่เข้าประกวดดนตรีโครงการเอ็ม 150 และได้พบกับคุณกิตติ กีตาร์ปืน นักกีตาร์ร็อกชื่อดัง ทำให้คุณไก่มีโอกาสเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำอัลบั้มตามคำชักชวน

เดินทางตามหาความฝัน
หลังเดินทางถึงกรุงเทพฯ เขาคลุกคลีอยู่กับดนตรีโดยเป็นเด็กดูแลห้องซ้อมและโรงเรียนสอนดนตรีของคุณกิตติ เป็นเวลากว่า 1 ปีที่ คุณไก่มุ่งมั่น พยายาม แต่เพราะยังไม่มีสไตล์ของตัวเองชัดเจน ความฝันถึงการมีอัลบั้มส่วนตัวจึงยังเลือนราง เขาจึงเลือกออกมาร้องเพลงตามร้านอาหารเหมือนเดิม

“ตอนนั้นเขาพาผมไปหาพี่โป่ง หิน เหล็ก ไฟ แต่เขาบอกว่า “ศิลปินต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง” ผมทำเดโมส่งไป เขาฟังแล้วเขาก็บอกว่ามันยังไม่ใช่ตัวผม ตอนนั้นผมเริ่มหมดกำลังใจ คิดว่าคงไปไม่ถึงฝันแล้ว จึงขออนุญาตคุณกิตติออกมาเล่นดนตรี และอยู่เอง”

ช่วงแรกเหมือนเพิ่งก้าวเดิน คุณไก่จึงล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อเล่นดนตรีไปได้สักประมาณ 5 ปี คุณไก่เริ่มยืนด้วยลำแข้งของตนเอง มีเงินเช่าห้องพัก มีร้านอาหารเล่นดนตรีประจำ จนกระทั่งตัดสินใจออกรายการตีสิบ ซึ่งทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

“วันนั้นผมตื่นเต้นมาก ไปตั้งแต่ 7 โมงเช้า คนอื่นเขามีคนไปให้กำลังใจเยอะแยะ แต่ผมไปกับเพื่อน กว่าจะได้ออดิชั่นก็ 3 ทุ่ม คนสุดท้ายเลย ผมทิ้งเบอร์ไว้ จากนั้น 3 เดือน รายการถึงโทรมาตามผมให้ไปออดิชั่นเพลงของร็อด สจ๊วต นี่คือเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน”

ความสามารถของคุณไก่เข้าตาใครหลายๆ คน รวมถึงคนไทยในต่างแดน ที่มีโอกาสชมผลงานของคุณไก่ผ่านรายการตีสิบ และทำให้คุณไก่ได้เดินทางไปเล่นดนตรีที่ต่างประเทศเป็นครั้งแรกในชีวิต

“ผมมาดังจริงๆ ตอนเทปที่ผมเป็นไมเคิล แจ๊คสัน คนไทยที่นอร์เวย์ติดต่อมาทางเฟชบุ๊คให้ผมไปเล่นดนตรีวันเกิดแฟนฝรั่งของเขา ตอนนั้นผมไม่คิดว่าจะเกิดสิ่งนี้ขึ้นในชีวิต ผมไปไกลกว่าศิลปินคนอื่นๆ เพราะตอนนั้นเหมือนผมชัดเจนในตัวเอง ผมเล่นดนตรีคนเดียวเหมือนเล่นทั้งวง ผมประยุกต์เครื่องดนตรีเอง ทำให้ผมเริ่มรู้ทางและสไตล์ของตัวเอง มันเป็นพรสวรรค์ แต่ก็ต้องฝึกฝน และพัฒนาเรื่อยๆ”

การเดินทางไปเล่นดนตรีวันเกิดครั้งนั้นทำให้คุณไก่ได้จับเงินแสนก้อนแรกในชีวิต ต่อมาเขาเดินทางไปเล่นคอนเสิร์ตแบบเปิดขายบัตรที่นอร์เวย์เรื่อยๆ และมีรายได้หลักแสนทุกครั้งที่ขึ้นเวที เช่นเดียวกับการเป็นการได้รับเชิญไปแสดงคอนเสิร์ตหน้าพระราชวังบักกิงแฮมในระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2558 ที่จะถึงนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่เกิดจากความสามารถของเขาอย่างแท้จริง

มีพรสรรค์ เท่านั้นมันก็ยังไม่พอ
ทุกวันนี้คุณไก่เข้าใจดีว่าตนเองบุญน้อยมาตั้งแต่เด็ก เหตุการณ์ ปัญหาต่างๆ ในชีวิตที่เคยรุมเร้า แม้จะเคยน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง แต่ก็ต้องอยู่กับมันแค่เสี้ยววินาที และเดินหน้าต่อไป สำหรับคนอื่นอาจกอดกับตัวเองและท่องในใจว่า “อดทน” แต่สำหรับเขาแค่นั้นมันไม่พอ

“คำว่าอดทน ไม่ท้อนะ ผมว่ามันเป็นคำที่พูดกันบ่อยแล้ว ผมจะข้ามไป แล้วลงมือทำเลยดีกว่า ไม่มามัวแต่พูดปลอบใจตัวเอง ผมไม่ชอบอะไรเลี่ยนๆ ไม่มีคำนั้นเลย ลุกขึ้นและลงมือทำให้เห็นผล ถ้าไม่ได้อีก ก็ทำใหม่ คนบางคนอดทนแต่ไม่ลงมือทำ”

จากทัศนคติและการบังคับตนเองให้ลุกขึ้นทันทีหลังจากล้ม ทำให้คุณไก่เดินทางมาถึงจุดที่แม้แต่ตัวเองยังบอกว่ามันห่างจากสิ่งที่คิดไว้ไกลมาก ทุกวันนี้เพื่อนๆ ที่เคยไม่เข้าใจก็เข้าใจ และยอมรับในตัวเขา

“ผมว่า “ความฝัน” ตัวเดียว ที่ทำให้ผมมุ่งมาทางนี้ เด็กๆ สมัยนี้มีความฝัน ผมก็อยากให้หาจุดเด่นของตัวเองให้เจอ มานะ พยายาม ตั้งใจ เดินสายที่ตัวเองชอบ ฝึกฝนเท่านั้นมันจะทำให้เราไปถึงจุดหมายได้ เมื่อใดที่เราลด ละ เลิก สิ่งเหล่านี้ มันก็จะทำให้เราไปไม่ถึงสิ่งที่เราต้องการ เรื่องพรสวรรค์มันแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น”

ถ้าจุดสตาร์ทชีวิตของคุณไก่คือ “ต้นทุนชีวิต” ที่ติดลบ แต่วันนี้เขากลับมีครบและพร้อมทุกอย่าง แล้วมันจะมีเหตุผลใดที่เราจะหาข้อแก้ตัวให้กับชีวิตแย่ๆ ของตัวเอง เพราะหากเทียบกันแล้วหลายคนมีต้นทุนชีวิตดีกว่าเขาด้วยซ้ำ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook