ใช่หรือไม่ใช่ สาวประเภทสอง ? โอ๊ค กีรติ นักแสดงตัวเล็กแต่ความฝันยิ่งใหญ่
หลายคนคุ้นตากับการแสดงของ โอ๊ค-กีรติ ศิวะเกื้อ นักแสดงที่มักได้รับบทเป็นสาวประเภทสองจากละครและซีรีส์ดังหลายเรื่อง ทั้งบทหนุ่มออฟฟิศใจสาวช่างเมาท์ในละครแรงเงา บท “อีหมี” ในมิ้นต์กับมิว คลับ ฟรายเดย์ เดอะ ซีรีส์ รวมถึงสาวประเภทสองร้ายลึกในละคร I Wanna Be Suptar ที่กำลังออกอากาศ
แม้เขาจะไม่ได้เป็นนักแสดงนำในละครเรื่องต่างๆ แต่จากความสามารถกลับทำให้เขากลายเป็นสีสันหลัก จนเริ่มมีการพูดถึง และสงสัยว่านักแสดงคนนี้เป็นใคร รวมไปถึงมีคำถามตามมาว่า เขาเป็นสาวประเภทสองหรือเปล่า ? Sanook! Men จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับชายหนุ่มที่มุ่งมั่นทำตามฝันตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในวันนั้น ทำให้เขาค้นพบว่าแท้จริงแล้วความสุขจากการแสดงนั้นคือส่วนหนึ่งในชีวิตที่เขาขาดไม่ได้
รู้จักตัวตน “โอ๊ค กีรติ” นักแสดงมากความสามารถ
โอ๊คเป็นหนุ่มเชียงรายโดยกำเนิด เกิดในครอบครัวที่คุณพ่อและคุณแม่แยกทางกัน คุณพ่อทำงานเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์หลายหัว ก่อนที่ภายหลังจะหันมาทำธุรกิจส่วนตัว ด้านคุณแม่เปิดพิพิธภัณฑ์เล็กๆ อยู่ในจังหวัดเดียวกัน สมัยประถมและมัธยมต้นเขาเรียนอยู่ในโรงเรียนที่จังหวัดบ้านเกิด ก่อนจะย้ายเข้ามาศึกษาต่อระดับมัธยมปลายในกรุงเทพฯ
“พอเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ตอนม.5 ผมได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา แล้วครอบครัวที่ผมไปอยู่ด้วยมีลูกชายและลูกสาวที่ชอบแสดงละครเวที ตอนนั้นผมขอตามเขาไปคัดตัวนักแสดงละครเวทีด้วย และก็ได้เล่นละครเวทีที่นั่นครั้งแรก พอกลับมาเมืองไทยผมสอบเทียบเพื่อให้ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นชัดเจนมากว่าผมอยากเป็นนักแสดง อยากเรียนนิเทศ อยากทำหนัง คุณพ่อจะตามใจแล้วแต่ว่าอยากทำอะไร แต่แม่กับญาติคนอื่นจะไม่สนับสนุน แบบว่า “โอ้โห เรียนนิเทศ มึงเรียนอะไรของมึงเนี่ย?” ลูกพี่ลูกน้องที่โตมาด้วยกันก็เรียนวิศวะจุฬา บัญชีธรรมศาสตร์ วิศวะลาดกระบัง ตอนนั้นมีปัญหาครอบครัวพอสมควร เพราะเขาคิดว่าเราเป็นเด็กดื้อ เรามีความคิดเป็นของตัวเองค่อนข้างมาก ตอนนั้นเขาคิดว่าเราไม่อยากเรียนหนังสือมั้ง เขาก็เลยไม่ให้เราเรียนนิเทศ”
จากความขัดแย้งในครอบครัวทำให้เขาตัดสินใจศึกษาต่อคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยชินวัตร แต่หลังจากนั้นเพียง 2 ปี เขารู้ว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบ จึงเปลี่ยนไปเรียนคณะบริหารธุรกิจจนจบการศึกษาและคว้าปริญญาบัตรมาได้สำเร็จ
จุดเริ่มต้นบนเส้นทางสายฝัน
เมื่อครั้งไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา โอ๊คมีโอกาสติดสอยห้อยตามลูกๆ ของครอบครัวที่ตนเองพักอาศัยไปคัดตัวเป็นนักแสดงละครเวที เขาจึงถือโอกาสร่วมทดสอบด้วย เมื่อได้รับคัดเลือกเขารู้สึกดีใจและมีความสุขกับการแสดงแม้เป็นเพียงบทเล็กๆ แต่กลับมอบทักษะต่างๆ มากมาย จนทำให้เขารู้เป้าหมายชีวิตของตนเองหลังจากนี้คือการเป็นนักแสดงที่ดีให้ได้
“จริงๆ ที่บ้านผมพ่อแม่ก็พาผมไปดูหนังบ่อยๆ ผมได้ทำกิจกรรมที่โรงเรียนหลายครั้ง แต่ที่ชัดมากคือช่วงที่ไปเรียนแลกเปลี่ยนนั่นแหละ เราต้องเวิร์คช็อป ต้องซ้อม จำได้ว่ามันสนุกมาก คิดเลยว่าถ้าทำเป็นอาชีพได้ก็คงจะดี”
จากความมุ่งมั่นนั้นทำให้หลังกลับมาถึงเมืองไทย เขาเริ่มไล่ล่าตามฝันเรื่อยมา หาความรู้เรื่องการแสดงเพิ่มเติม สมัครเรียนการแสดงหลายแห่ง รวมถึงวิ่งเข้าหาโอกาสแทนการรอให้โอกาสวิ่งเข้าชน
“ช่วงที่ไม่มีงานแสดง (แบบได้เงิน) ผมไปหัดเล่นละครเวที ไปเรียนการแสดงเพิ่มเติมทั้งเทคนิคการใช้ร่างกาย เรียนการใช้เสียงโดยเฉพาะอีก 1 ปี เรียนวิธีพูด ระหว่างนั้นส่งใบสมัครเป็นนักแสดงไปกว่า 30 ที่ ทั้งบริษัทผลิตละคร โมเดลลิ่ง สมัครตามนิตยสารที่รับนักแสดงหน้าใหม่ แต่เชื่อไหมว่า “ไม่มีที่ไหนตอบกลับมาเลยในตอนนั้น”
เพราะหัวใจไม่เคยยอมแพ้ ในที่สุดเขาได้ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงจากการรับบทเป็นตัวประกอบเล็กๆ ก่อนจะมีงานแสดงละครเวที ละครหลังข่าว รวมถึงซีรี่ส์ สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดขึ้นเพียงเวลาชั่วข้ามคืน แต่กลับเป็นเพราะความพยายามและความสามารถของเขาอย่างแท้จริง
“มิวสิควิดีโอเพลง “แพ้คำว่ารัก” ตอนนั้นอายุ 26 คนที่เขาทำละครเวทีเหมือนกันนี่แหละ เขาบอกว่าเราน่าจะเล่นเอ็มวีนี้ได้ เขาก็ส่งบทมาให้เราทำการบ้าน และโชคดีที่บทมันดี ผู้กำกับและทีมงานก็ดี ตอนนั้นเรียนแอคติ้งมาพอสมควรแล้ว เรารู้ว่าต้องทำการบ้านแบบไหน ตอนนั้นยอดวิว 10 กว่าล้านถือว่าเยอะมาก เดินไปไหน คนเรียน “โอ๊คแพ้คำว่ารัก โอ๊คแพ้คำว่ารัก”
เพราะรักจึงยอมทุกอย่าง
หากรักที่จะเป็นนักแสดงต้องทุ่มเทอย่างที่สุด ใครจะเชื่อว่าเขาทำการบ้านอย่างหนักกับทุกบทตัวละครที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นบทอีหมี ในมิ้นต์กับมิว คลับ ฟรายเดย์ เดอะ ซีรีส์ หรือบทสาวประเภทสองช่างเมาท์ในละครเรื่องแรงเงา เขาบอกว่าต้องหมั่นสังเกตสีหน้า ท่าทาง คำพูดต่างๆ ของสาวประเภทสองตัวจริง เพื่อแสดงให้เนียนที่สุด เข้าถึงความเป็นตัวตนของตัวละครนั้นๆ ให้ได้มากที่สุด
“ภาษาลู ที่คนบอกว่าพูดได้ต้องเป็นสาวประเภทสองแน่ๆ ตอนแรกผมพูดไม่ได้ ก็ไปขอให้พี่ที่เป็นสาวประเภทสองช่วยสอน จำได้ว่ามีพี่ช่างแต่งหน้าชื่อ พี่เก่ง เราก็ไปขอให้เขามาช่วยสอน จังหวะไหนพูดยังไง เราก็ไปทำการบ้านมาก่อน มันก็เลยค่อนข้างเนียน”
สำหรับบทหนุ่มร้อยเอ็ดในละครผู้กองยอดรักที่ลาจอไปแล้วก็เช่นกัน หนุ่มคนนี้ต้องพูดภาษาอีสานที่ในความเป็นจริงไกลตัวมาก แต่เมื่อผู้กำกับเรียกไปคุยเขาขอเวลาเรียนรู้ภาษาอีสาน เพื่อลองรับบทนี้ดูสักครั้ง
“ตอนแรกหาคนอีสานที่อยู่ในกรุงเทพให้ช่วยสอน ทั้งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แม่บ้าน ช่างทำผม แต่ก็ไม่มีใครสอน พอดีมีคิวว่าง 3 วันเลยจองตั๋วเครื่องบินไปขอนแก่นแล้วต่อรถประจำทางไปร้อยเอ็ด พอดีไปเจอผู้พันกบ ตอนแรกไปบอกเขาว่าเราเป็นนักแสดงและต้องรับบทเป็นคนร้อยเอ็ดอยากได้คนสอนภาษา ตอนแรกเขาก็งงๆ แต่สุดท้ายก็พาไปหาภรรยาของเขาให้ช่วยสอน ตอนแรกเขาก็กลัวเรา แต่เขาก็ยอมสอนให้เพราะเอ็นดู”
จากความทุ่มเทและจริงจังกับการทำงาน จึงไม่แปลกใจเลยว่าผลงานที่ออกมาทำให้การแสดงในบทพรมมาหนึ่งในเพื่อนพระเอกแนบเนียนมาก จนหลายคนคิดว่าหนุ่มเหนือคนนี้เป็นหนุ่มอีสานแต่กำเนิด
ผมเป็นผู้ชายนะครับ
จากการรับบทเป็นสาวประเภทสองบ่อยครั้ง คงทำให้หลายคนปักใจเชื่อว่าตัวจริงของหนุ่มคนนี้คือสาวประเภทสอง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงการตีบทสาวประเภทสองจนแตกละเอียดนั้นเกิดจากการทำการบ้านอย่างยอดเยี่ยมของหนุ่มแมนร้อยเปอร์เซ็นต์คนนี้เท่านั้นเอง
“ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดี แต่คิดว่าการแสดงของเราชนะใจคนดูมากกว่า ส่วนตอนนี้ผมโสด แต่แฟนคนก่อนๆ เขาก็เข้าใจนะตอนเราเล่นบทสาวประเภทสอง เขาบอกตลกดี แฟนผมบางคนเป็นคนทำงานในวงการอยู่แล้ว ตอนละครเวทีเราก็เล่นบทประหลาดๆ มาเยอะ ทั้งฆาตกรโรคจิต เป็นทั้งบทเพี้ยนๆ บ๊องๆ มาเยอะแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเขาเห็นมาเยอะแล้ว”
สานฝันให้คนอื่น อีกหนึ่งภารกิจเติมฝันให้ตัวเอง
จากตัวประกอบไร้ชื่อ แต่ด้วยความฝันอันยิ่งใหญ่ สามารถพาหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนนี้เดินทางมาจนถึงจุดที่คนยอมรับในฝีมือการแสดง สำหรับตัวเขาขอเดินต่อไปบนเส้นทางนักแสดง โดยหมั่นพัฒนาฝีมือ เติมความรู้ใส่ตัว และด้วยความเชื่อที่ว่าคนอื่นๆ คงมีฝันเช่นเดียวกัน เขาจึงเปิดโรงเรียนสอนการแสดงเล็กๆ ขึ้นมาเพื่อต่อเติมความฝันให้กับเด็กหลายคนที่รักการแสดง
“ ที่โรงเรียนมีสอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ อาจารย์ที่มาสอนก็มีความสามารถทั้งคนเขียนบทละครจาก GTH และนักแสดงเก่งๆ ผมก็สอนด้วย สอนจากประสบการณ์จริงแบบไม่กั๊ก เพราะผมรู้ว่าการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองฝัน มันมีความสุขมากแค่ไหน”
หลายคนมองว่าอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่ง่าย และรายได้งาม อาชีพนี้จึงเย้ายวนให้ใครๆ อยากเข้ามาสัมผัส หากการเข้ามาเพียงเพื่อแสวงหารายได้เพียงอย่างเดียว คงไม่ทำให้ทุกคนยืนหยัดอยู่ในวงการนี้ได้ยาวนาน แต่จะมีวิธีใดดีไปกว่าการทำให้คุณเป็น “ตัวจริง” อย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับโอ๊ค กีรติ ศิวะเกื้อ เขาเชื่อว่าเลือดนักแสดงในตัว กับการไม่ยอมแพ้ ไม่หยุดเรียนรู้ จะทำให้เขาประสบความสำเร็จในเส้นทางฝันของตัวเองอย่างแน่นอน
อัลบั้มภาพ 21 ภาพ