"พัน พลุแตก" ตลกสู้ชีวิต คิดแบบไม่ท้อ ต้อง “ซู่ ซู่”
“ผมชอบพูดตลกๆ ว่าเวลาคุณท้อให้ไปยืนที่หน้าทะเล คุณจะได้ยินเสียงบอกว่า ซู่ ซู่ เสียงน้ำทะเลจะบอกเราว่า สู้ สู้”
มุกตลกแฝงข้อคิดของ พัน พลุแตก หรือ ภาณุพันธ์ ครุฑโต วินาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักตลกสุภาพเล่นมุกฮา ฮา โดยไม่ต้องพูดคำหยาบ จนได้ฉายาว่า "สุภาพบุรุษคอมเมดี้"
แต่กว่าจะมีวันนี้ ชีวิตของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องฝ่าฟันอุปสรรคและความยากลำบากมากมาย แต่ด้วยกำลังใจจากครอบครัว และคำว่าไม่ยอมแพ้ ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ตามไปรู้จักเรื่องราวชีวิตของผู้ชายคนนี้ผ่านบทสัมภาษณ์พิเศษจาก Sanook ! Men แล้วคุณจะรู้จักตัวตนของเขามากขึ้น
ชีวิตในวัยเด็กของคุณเป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้เราฟังหน่อย
ผมเป็นเด็กสวน ไม่ได้หมายความว่าเดินสวนจตุจักรนะ เด็กสวนในที่นี้หมายความว่าที่บ้านมีสวนแถวเพชรเกษมอยู่บางด้วน
เป็นสวนมะพร้าวคือปู่กับย่าทำสวน เป็นคนจีนเดินทางมาซื้อสวนปลูกมะพร้าว มะนาว ส้มโอแล้วเสาร์อาทิตย์ผมก็จะไปช่วยเขารดน้ำมะนาว จับปลา ปีนต้นมะพร้าวเก็บกล้วย ชีวิตอยู่ก้ำกึ่งระหว่างยุคสมัยที่มันกำลังจะเปลี่ยนไปเป็นอีกสมัยหนึ่ง
ความฝันในวัยเด็กอยากจะเป็นอะไรครับ
อยากเป็นพระเอกลิเกมากเลย เพราะตอนเด็กๆ ถ้ามีลิเกดังๆ มาเล่นผมจะเอาเสื่อไปปูตั้งแต่ 4 โมงเย็น จองที่ไว้ก่อนเพื่อที่จะได้นั่งหน้า พอเราดูแล้วก็ชอบ เห็นพระเอกลิเกได้เงินเยอะ เวลามีคนไปคล้องพวงมาลัยเลยอยากเป็นพระเอกลิเกมากอันนี้ฝันแรก
พอโตขึ้นมาหน่อยฝันก็เปลี่ยน เพราะลิเกมันไม่น่าใช่ เนื่องจากหน้าตาเราไม่น่าจะเป็นพระเอกลิเกได้ เปลี่ยนว่าอยากทำงานธนาคารเพราะเห็นคนทำงานธนาคารสบาย แค่มีคนเอาเงินมาให้แล้วเราก็เก็บเงิน เลยคิดว่าทำงานธนาคารน่าจะเวิร์ค ใส่สูท รับเงิน ทำงานกับคนน่าจะโอเค
ทราบว่าก่อนหน้าที่คุณจะมาเป็นตลกหน้ากล้องแบบนี้ เคยเป็นพนักงานประจำของเวิร์คพอยท์ ฯ มาก่อน
จริงๆ มันเหมือนเรื่องตลกนะ แรกๆ มันเกิดจากความแร้นแค้นหรือเปล่านะ คือครอบครัวมีปัญหาเรื่องการเงินตอนนั้นผมกำลังเรียนอยู่เลยคิดจะหาเงินช่วยทางบ้าน
เลยคิดวิธีหาเงินง่ายๆ คือเขียนจดหมายไปเล่นเกมส์ตามรายการต่างๆ มันเป็นทางเดียวที่จะหาเงิน เพราะถ้าได้เข้าไปเล่น เราจะได้เงินอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าพัน
ผมเลยเขียนจดหมายไปตามรายการที่รับสมัครคนจากทางบ้านเข้าร่วมรายการ ผมได้เข้าไปเล่นเกือบทุกรายการ จนมีรายการหนึ่งคือรายการกามเทพผิดคิวเป็นรายการของเวิร์คพอยท์ฯ ผมไปเล่นแล้วชนะ แล้วก็ไปเล่นบ่อยๆจนคนในบริษัทเห็นแล้วชมว่าคนนี้หน่วยก้านดี พูดจาตลก ช่วงสมัยเรียนเขาเคยชวนผมมาทำงานที่เวิร์คพอยท์แต่ช่วงนั้นวัยรุ่นก็เลยตอบไปว่าอยากเข้ามาสมัครเองแต่มันก็ผ่านไป
จนผมมาทำงานเป็นครู พิธีกรแดนเนรมิตจากนั้นผมมีแต่งงานเลยรู้สึกว่าต้องหางานประจำทำ พอดีช่วงนั้นเวิร์คพอยท์ฯ รับสมัครฝ่ายบุคคลที่สามารถทำกิจกรรมกับพนักงานได้ เขารับตำแหน่งเดียว
ผมมีคู่แข่งเยอะมากจบจากสถาบันดีๆ เกรดดีกว่าผม วันที่ผมไปสมัครผมเอาอัลบั้มรูปที่ผมเคยทำงานมากว่า 10 อัลบั้มไปด้วย ผมเชื่อว่ามันเป็นโปรไฟล์ที่สำคัญมากกว่าคำพูด แล้วผมก็ได้ทำงาน ผมดีใจมากที่มีงานประจำ มีรายได้แน่นอนทุกเดือน มีสวัสดิการ คิดแค่นี้ คิดถึงความมั่นคงของครอบครัว คิดว่าครอบครัวต้องไม่ลำบากเหมือนเรา
จากพนักงานบุคคล แล้วทำไมคุณถึงเปลี่ยนมาทำงานเบื้องหน้าอย่างเต็มตัว
พอทำงานมาสักระยะหนึ่งก็มีโอกาสทำกิจกรรม จนผู้ใหญ่เห็นว่าหน่วยก้านเราดี พอมีงานเลี้ยงบริษัทหรือกิจกรรมต่างๆ ผมก็เป็นพิธีกร เขาเลยลองให้ไปเล่นในรายการระเบิดเถิดเทิงเล่นเป็นจ่าพัน และผมก็ไปช่วยเขาทำรายการอื่นๆ ในเวิร์คพอยท์ฯ ด้วย
จนฝ่ายผลิตมาขอให้ผมไปช่วยงาน ช่วงนั้นเป็นอีกช่วงที่ต้องตัดสินใจเพราะถ้าไปทำงานฝ่ายผลิตจะไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัว ไม่เหมือนทำงานฝ่ายบุคคลมีเวลาเข้าออกงานแน่นอน มีเวลาอยู่กับครอบครัว
คิดไปคิดมาและปรึกษากับครอบครัวว่ามันคือโอกาสที่เราจะก้าวหน้า เติบโต และเราก็อยากทำงานด้านนี้ เราไม่ได้จบนิเทศศาสตร์ เราจบครุศาสตร์ มันท้าทายมาก เริ่มต้นทุกอย่างหมดทั้งตัดต่อมิกซ์เสียง ต้องไปนั่งคุมช่างเสียงเอง คือใช้ประสบการณ์ล้วนๆ ก็ไม่ท้อนะ เพราะคนอื่นลำบากกว่าเราเยอะ
จนถูกบ่มเพาะความคิดทางด้านการทำงานบันเทิง พอดีช่วงนั้นเขาจะทำรายการสู้เพื่อแม่ เด็กและผู้ปกครองเข้ามาร่วมรายการเยอะ จึงอยากได้ใครสักคนมาเป็นผู้ช่วยพิธีกรเขาเลยนึกถึงผม
ผมเริ่มทำรายการสู้เพื่อแม่เป็นรายการแรก จำได้ว่าลูกเกิดพอดี พอเริ่มต้นโอกาสมาผู้ใหญ่เริ่มเห็น นอกจากนี้ยังทำงานเบื้องหลังอีกด้วย ทีนี้ฟ้ามันเปิดมั้ง พี่เขาเห็นแววเลยชวนมาเล่นชิงร้อยชิงล้าน ลองไปอ่านข่าวในตลกหกฉาก เฮ้ยลองไปขับแท็กซี่ซิดูหน้าบ้านๆ ดี โอกาสมันเกิดจากความสามารถที่เปล่งประกายออกมา
ชื่อในวงการคือ พัน พลุแตก ได้มาอย่างไร และมันมีความหมายไหม
มาถึงช่วงหนึ่งที่ผมมีโอกาสได้ทำงานกับพี่ตา คุณปัญญา นิรันดร์กุล พี่จิก คุณประภาส ชลศรานนท์ บ่อยๆ ท่านบอกว่าน่าจะมีชื่อพันอะไรสักอย่าง พัน ชิงร้อย , พัน สู้เพื่อแม่ , ดอกเตอร์พัน , มันน่าจะมีชื่อเหมือนกับตลกพวกพี่ๆ เขา
พี่ตาคิดอยู่หลายชื่อ จนวันหนึ่งเขามั่นใจจึงเรียกเข้าไปหาแล้วพูดว่า พี่ได้ชื่อละ พัน แล้วก็ต่อท้ายว่า พลุแตก ผมว่าชื่ออะไรก็เอาหมดแหล่ะถ้าพี่ตาให้
ผมรู้สึกมันเป็นมงคลกับชีวิตมาก ส่วนความหมายพี่ตาอธิบายคำพลุแตกว่า พลุ หมายถึงความสวยงามมีแต่คนอยากเห็นและมันอยู่คู่กับทุกเทศกาล แล้วเวลาพลุมันแตก มันสวยเหมือนกับพัน ที่มันกำลังจะเป็นแสงสว่างให้คนได้เห็นถึงความสวยงามผ่านการแสดง
ฉายาสุภาพบุรุษคอมเมดี้ มีที่มาที่ไปอย่างไรครับ
ฉายานี้ได้ในโต๊ะกินข้าวคือแก๊งสามช่าพี่หม่ำ พี่เท่ง พี่โหน่ง พี่ส้ม ตุ๊กกี้และผม ก่อนอัดชิงร้อยฯ เราต้องมาทานข้าวด้วยกันก่อน พี่หม่ำเป็นคนน่ารัก จะซื้อกับข้าวมาทำกินเอง และทุกคนต้องมากินพร้อมกัน แล้วถ้าหากข้าวยังไม่เดือดอย่าเพิ่งตักนะ
พี่หม่ำเป็นคนรักเพื่อน รักน้อง ต้องกินพร้อมกัน พอกินข้าวไปสักพักพี่หม่ำมองหน้าผมแล้วทักว่า พันมันนี่เหมือนตลกสุภาพ สุภาพ สุภาพบุรุษคอมเมดี้ สุภาพบุรุษคอมมาเดี้ยน อะไรประมาณนี้ เราก็เฮ้ยผมชอบคำนี้ขอได้ไหมพี่ ดูมันแบบว่าใช่เลยอ่ะ เหมือนพวกลูกทุ่งเขาจะมีฉายาในวงการลูกทุ่ง
มุกตลกที่ใช้เล่นทุกวันนี้คุณมีกระบวนการคิดอย่างไร
กระบวนการคิดแรกมาจากคำว่าจำอวด คือดูจากพี่เขานั่นแหล่ะ พี่หม่ำ พี่เท่ง พี่โหน่ง พี่ส้ม น้องตุ๊กกี้ ดูวิธีการเล่นของพี่เขา ดูจังหวะการเล่น ดูว่าเขาคิดยังไง บางทีก็ถามเขาเล่นกับเขา แล้วผมชอบดูวิดีโอตลก เพราะเป็นคนสนุกสนาน อ่านหนังสือขายหัวเราะ อ่านมุก อ่านแก๊กแล้วเอาสิ่งนี้มาปรับใช้ให้เข้ากับตัวเอง เพราะบางมุกก็เหมาะกับเรา บางมุกก็เหมาะกับพี่เขา
แสดงเป็นตลก ชีวิตจริงเป็นคนตลกหรือเปล่า
ไม่ค่อยเท่าไหร่นะ เพราะว่ามันเป็นช่วงรอยต่อที่ช่วงหนึ่งครอบครัวเคยประสบปัญหาทำให้เรารู้สึกเครียด ถ้าไม่มีโอกาสถือไมค์ก็จะเฉยๆ ไม่ค่อยพูด จะนิ่งๆ แต่โดยพื้นฐานเป็นคนชอบตลก ชอบเวลาที่เราไปพูดกับใคร ชอบทำให้คนอื่นมีความสุขมากกว่า
เห็นว่าชีวิตคุณเคยลำบาก คุณมีวิธีคิดสร้างแรงบันดาลใจอย่างไร ให้ต่อสู้ผ่านเรื่องราวร้ายๆ ได้
ผมมองดูแม่กับพ่อ เพราะว่าชีวิตของปู่กับย่า พ่อกับแม่ เขาลำบากกว่าเรา มีสิ่งหนึ่งที่แม่บอกผมเสมอว่า แม่จบแค่ ป.4 ไม่มีความรู้อะไรเยอะแยะ แต่สิ่งหนึ่งที่แม่มีให้ก็คือการศึกษา ไม่เก่งก็ต้องขยันเรียน
เพราะถ้าเราเรียนเยอะ จบการศึกษาสูงโอกาสที่เราจะเลือกงานดีๆ มีเงินสูงๆ ก็เยอะ มันทำให้ผมย้อนกลับไปคิดว่า สิ่งที่ต้องทำคือเริ่มจากตัวเราต้องสู้ ต้องพยายาม ต้องเอาชนะให้ได้ เราจะไม่แพ้
ถ้าเราไม่ยอมแพ้ เลยรู้สึกว่ามีกำลังใจอยู่เสมอในยามนึกถึงแม่ เราต้องสู้ เราต้องทำเพื่อเขา มันเป็นหน้าที่ๆ เราต้องดูแลเขา เพราะเขาดูแลเรามาตั้ง 9 เดือน ส่งเสียเลี้ยงดูเราจนจบปริญญาตรีแล้วเราจะยอมแพ้แค่ปัญหาหรืออุปสรรคที่มันอยู่ข้างหน้านิดหน่อย มันก็เลยฮึดสู้
แล้วคุณคิดว่าตอนนี้คุณประสบความสำเร็จหรือยัง
ด้านโอกาสในวงการบันเทิง ต้องบอกว่าถือว่าประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จในที่นี้ของผมไม่ได้หมายความว่ามีชื่อเสียงใหญ่โต มีเงินทองมากมาย แต่การประสบความสำเร็จของผมคือได้ทำในสิ่งที่เรารักคืองานในด้านบันเทิง
ได้อยู่ในบริษัทที่ถือว่าทำรายการทีวีอันดับหนึ่งของเมืองไทยเลยก็ว่าได้ และได้อยู่ในทีมตลกอันดับหนึ่งของเมืองไทยก็ว่าได้ ผมรู้สึกว่ามันโอเคสำหรับผม แต่ต้องรักษามาตรฐานและพยายามพัฒนาตัวเองให้สามารถอยู่ได้
และที่มีวันนี้ผมต้องขอขอบคุณพี่ตา คุณปัญญา นิรันดร์กุล พี่จิก คุณประภาส ชลศรานนท์ ผู้บริหารบริษัทเวิร์คพอยท์ฯ ที่ให้โอกาสจนมีวันนี้ จริงๆ ความสำเร็จมันไม่ได้มาแค่ตัวเราอย่างเดียวมันมาด้วยผู้ใหญ่ที่ให้โอกาส และเราสามารถทำโอกาสนั้นได้ ก็จะประสบความสำเร็จ
สิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้คุณประสบความสำเร็จในวันนี้คืออะไร
ครอบครัวเป็นแรงผลักดัน เป็นแรงกระตุ้น ผมคิดว่าดีนะที่ผมได้ผ่านความยากลำบากเพราะมันเป็นเหมือนวัคซีนที่ผมถูกฉีด แล้วเวลาผมเจอปัญหาที่มันเหมือนเชื้อโรคเข้ามาหาเรา ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่ มันทำให้ผมสามารถต่อสู้กับพวกนี้ได้ เพราะผมมีภูมิต้านทาน
ที่มีวันนี้ได้เป็น พัน พลุแตก มีชื่อเสียง เพราะอะไร ความสามารถ โอกาส หรือโชคชะตา
ผมว่ามันหลายๆ อย่างรวมกัน อันแรกคือโอกาสทุกคนต้องการโอกาส สมัยนี้มันมีโอกาสเยอะเวทีประกวดก็เยอะ สมัยก่อนไม่มีเลย เพราะฉะนั้นโอกาสสำคัญ
สองคือความสามารถที่เรามีอยู่ สามคือเรื่องความขยันพัฒนาตัวเอง สี่คือเรื่องความกตัญญู ความกตัญญูก็สำคัญ แล้วเรื่องที่สำคัญมากที่สุดคือความซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ซื่อสัตย์ต่อผู้ร่วมงาน ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ มันเลยทำให้เราสามารถทำอะไรได้
เพราะ 5 อย่างนี้อยู่ในมือเรา พอเรากำมือทุกครั้งก็จะทำให้เรารู้สึกว่ามันต้องสู้ ถ้าแบมือก็เหมือนการยอมแพ้ 5 สิ่งที่อยู่ในมือมันต้องกำไว้ แล้วมันก็ต้องสู้ต่อไป
เห็นทำงานหนักแบบนี้คุณมีวิธีการผ่อนคลาย หรือ ชาร์ตแบตให้ตัวเองอย่างไร
ไปเที่ยวทะเล ไปเล่นน้ำ รู้สึกว่าไปยืนที่ทะเลแล้วเวลามองออกไปมันรู้สึกว่าไม่มีอะไรปิดกั้น เหมือนเราไปได้ไกลๆ แต่เวลาอยู่ในเมืองมันมีแต่ตึก ไปทะเลมันไม่มีอะไรปิดกั้น เหมือนเรามีเสรีภาพในการมอง ในการได้ยินเสียงจากรอบๆ ข้าง
“ ผมชอบพูดตลกๆ ว่าเวลาคุณท้อให้ไปยืนที่หน้าทะเลคุณจะได้ยินเสียงบอกว่า ซู่ ซู่ คือเสียงน้ำทะเลจะบอกเราว่า สู้ สู้ อันนี้เป็นมุกนะ แต่ผมชอบเพราะเวลาเราไปยืนจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”
คติประจำใจที่คุณยึดถือและทำให้มีกำลังใจต่อสู้คืออะไร
มันมีแค่สองคำที่ผมพูดซ้ำบ่อยๆ “ทำได้ ทำได้ ทำได้” เราพูดซ้ำสามครั้งทำให้เราเรารู้สึกมั่นใจว่าทำได้ และอีกอันหนึ่งที่ผมชอบ “เราจะไม่แพ้ ถ้าเราไม่ยอมแพ้” และคำของแม่ที่ยังจำอยู่เสมอคือ “คนเก่งแพ้คนขยัน” มันคือใช่อ่ะ
คำพูดของคนเรียนไม่สูง แม่ผมทำนาขี่หลังควายเรียนแค่ ป.4 แต่ว่าสอนคนระดับปริญญาตรี คนเก่งแพ้คนขยันนะลูกนะ ฟังแล้วรู้สึกดี
เรื่องราวของ พัน พุแตก คงสามารถเป็นแนวทางเพื่อให้คนที่กำลังยอมแพ้ ท้อแท้ สิ้นหวัง สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตได้
ขอเพียงเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเอง คิดอยู่เสมอว่า ทำได้ ทำได้ ทำได้ คุณก็จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรค และขึ้นไปยืนอยู่ในจุดที่คุณรู้สึกภูมิใจดั่งเช่นสุภาพบุรุษคอมเมดี้คนนี้
อัลบั้มภาพ 26 ภาพ