The voice within แสตมป์ อภิวัชร์ ทางที่เลือกแล้วของนักร้อง นักแต่งเพลงและงานวิวาห์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ในขณะที่รายการ The Voice ซีซั่น 4 เพิ่งเปิดฉากเฟ้นหานักร้องเสียงคุณภาพ อดีตโค้ชหนุ่มแสตมป์อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข ก็กำลังง่วนกับการเตรียมงานใหญ่ถึง 2 งานด้วยกัน งานแรกคือคอนเสิร์ตแสตมป์ฟ้าผ่า ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 19 กันยายนนี้ที่ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ส่วนอีกงานคือการแต่งงานระหว่างเขากับนิว - จีริสุดา ศรีวัฒน์ แฟนสาวที่คบหาดูใจกันมากว่า 8 ปี แม้จะมีเรื่องใหญ่ๆ ถึง 2 เรื่องที่แสตมป์ต้องดูแล แต่เราก็สัมผัสได้ว่าเขาดูผ่อนคลายกว่าช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา อันเป็นช่วงที่เขารับหน้าที่โค้ชให้กับรายการดังระดับโลกอย่าง The Voice
ในวันที่หลายๆ คนคิดว่าแสตมป์ก้าวมาถึงจุดที่เรียกว่าประสบความสำเร็จในชีวิต มีทั้งชื่อเสียงเงินทอง จะหยิบจับอะไร แฟนๆ ก็สนับสนุนไปเสียหมด เขากลับทิ้งทุกอย่างเพื่อไปทำในสิ่งที่ตัวเองเลือกโดยปฏิเสธการเป็นโค้ช The Voice ซีซั่น 4 ท่ามกลางความเสียดายของหลายๆ คน เราไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงว่าเพราะอะไรเขาถึงเลือกที่จะไม่ไปต่อ แต่สิ่งหนึ่งที่แสตมป์บอกเราเสมอคือเขาไม่เหมาะกับพื้นที่ตรงนี้เท่าไรนัก
เราวางเครื่องอัดเสียงขนาดจิ๋วเพื่อสัมภาษณ์แสตมป์ทั้งเรื่องงานและการใช้ชีวิตของเขา พร้อมๆ กับแอบชวนนิวที่นั่งอยู่ไม่ไกลมาร่วมวงสนทนาเกี่ยวกับการวางแผนใช้ชีวิตคู่และงานแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้น ถึงแม้ว่านิวจะตอบคำถามไม่มากนัก แต่ก็ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาถึงเราเป็นระยะ โลกของแสตมป์กำลังจะเปิดขึ้นอีกครั้งเพื่อให้ทุกคนเข้าไปสัมผัสและทำความรู้จักกับผู้ชายที่เลือกเส้นทางชีวิตก้าวต่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อัพเดทตารางงานของคุณในเวลานี้ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ
แสตมป์ : วันนี้ผมต้องโปรโมทคอนเสิร์ตแสตมป์ฟ้าผ่า โดยให้สัมภาษณ์ 2 สื่อ พอตกเย็นก็มีคอนเสิร์ตที่โรงละครแห่งชาติครับ ตอนนี้เรียกว่าตารางงานผมว่างขึ้น เพราะเริ่มรู้ว่าเราอยากจะทำอะไร ซึ่งเวลานี้ผมเริ่มทำงานเบื้องหลังเยอะขึ้น มันสนุกดีนะไม่ว่าจะทำเพลงโฆษณา หรือทำเพลงให้ศิลปินท่านอื่น ซึ่งช่วยให้ผมแบ่งเวลาได้ง่ายขึ้น ทุกอย่างไม่ต้องเป๊ะมาก อย่างเช่นต้อง 4 โมงเย็นนะ แต่จะกลายเป็นว่าต้องส่งงานภายในอาทิตย์นี้นะ งานของผมมาพีคมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เองที่เริ่มมีงานไปเล่นตามผับต่างจังหวัดมากขึ้น ไปทีก็ใช้เวลา 3-4 วัน พอกลับมาถึงก็ต้องสะสางงานที่กรุงเทพฯ แล้วก็เดินทางอีก ตารางงานก็เลยเป๊ะไปหมด
จัดเวลาพักผ่อนอย่างไรบ้างคะ
แสตมป์ : ผมชอบที่จะพักผ่อนยาวๆ ได้เที่ยวต่างจังหวัดหรือไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง ส่วนมากก็จะแพลนว่าสัก 2-3 เดือน ถึงจะหยุดที
ก่อนหน้านี้ช่วงที่ยุ่งมาก ไม่มีเวลาพักผ่อนสักที คุณบอกกับตัวเองอย่างไรให้เราทำงานต่อไปได้
แสตมป์ : ผมไม่เคยเหนื่อยขนาดที่รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว แค่อาจจะต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบ อย่างเช่น ผมเป็นคนไม่ชอบอยู่ไกลบ้าน นานๆ ก็ทำได้นะครับ แต่ว่าไม่ชอบ พอมาปีนี้ก็เริ่มคิดว่าเราก็โตแล้วนะ คงอยู่บนถนนแบบนี้ตลอดไม่ไหว เราน่าจะทำสิ่งที่เป็นอนาคตของเรา และควรต้องวางแผนในสิ่งที่จะมาถึงอย่างการมีครอบครัว อาจจะต้องทำอะไรที่สามารถอยู่บ้านได้มากขึ้น ผมก็เลยมาเอาจริงเอาจังในการทำเบื้องหลังอีกครั้งหนึ่ง
แต่คุณก็ทำงานเบื้องหลังอยู่แล้วนี่คะ
แสตมป์ : ครับ แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ห่างออกไป (แรงบันดาลใจที่ทำให้หันกลับมาทำเบื้องหลังอย่างจริงจังคืออะไรคะ) คงจะเริ่มรู้สึกว่างานเบื้องหน้าไม่จีรัง แล้วเราควบคุมอะไรยากมาก รู้สึกว่าเราเป็นคนประเภทที่อยู่สงบๆ ก็ดีนะ ผมชอบอยู่บ้าน มีเวลาว่างๆ ที่เราจัดการได้ ซึ่งถ้าเราไม่เริ่มทำตอนนี้มันคงจะช้าไปแล้ว
กี่ปีมาแล้วที่คุณทำงานตรงนี้
แสตมป์ : 10 กว่าปีได้แล้วนะครับ
งานเบื้องหลังคืองานที่คุณตั้งใจอยากทำมาตั้งแต่ต้นเลยหรือเปล่า
แสตมป์ : ตอนแรกผมไม่คิดอะไรเลยครับ ใครให้ทำอะไรก็ทำ แต่ตอนนั้นงานเบื้องหน้าไม่มีใครให้ทำ (หัวเราะ) ก็เลยต้องทำเบื้องหลังก่อน แต่วันหนึ่งก็เริ่มมองหาว่าอะไรที่น่าจะเหมาะสมกับเราในระยะยาว
แล้วการทำงานที่บ้านเป็นเรื่องที่คุณใฝ่ฝันไว้หรือเปล่า
แสตมป์: ผมว่ามันน่าจะบาลานซ์กันนะครับ เพราะพอเราทำงานที่บ้านสักพักแล้วมาเล่นดนตรี ผมจะรู้สึกว่าสนุกจังเลย อาจจะต้องทำทั้ง 2 อย่าง เช่นทำเบื้องหน้าสัก 30 เปอร์เซ็นต์ เล่นดนตรีสัก 40 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเลือกได้นะครับ ตอนนี้งานเบื้องหน้าอาจจะเยอะกว่า แต่อีกไม่นานมันคงลดลง คงเป็นเพราะวัยของเราด้วย ซึ่งผม OK! มากนะครับ
การที่คุณไม่ได้เป็นโค้ชรายการ The voice แล้ว อาจทำให้คุณมีงานเบื้องหน้าน้อยลง ซึ่งรวมถึงรายได้ของคุณอาจจะน้อยลงด้วย คุณ OK!กับเรื่องเหล่านี้่ที่กำลังจะเกิดขึ้นใช่ไหม
แสตมป์ : ผมว่ามันเป็นวงจรอยู่แล้วนะครับ เราก็ไม่ใช่คนที่ชอบงานเบื้องหน้าขนาดนั้น งานเบื้องหน้าอาจจะได้ค่าตอบแทนเร็ว แต่ทำงานเบื้องหลังก็สบายใจ มันได้อย่างเสียอย่างนะ
คุณใช้เงินเปลืองไหม
แสตมป์ : วันหนึ่งผมมีเงินติดกระเป๋าเยอะที่สุด 2-3 พันบาท เฉลี่ยต่อวันผมใช้เงินเยอะที่สุดคือประมาณ 1 พันบาท ซึ่งบางทีเงิน 1 พันบาทนั้นก็หมดไปกับการซื้อหนังสือ หรือไม่ก็มีสังสรรค์กับเพื่อน อาจจะแพงหน่อยเพราะเพื่อนหลายคน เราเองก็อยากจะเลี้ยงเขา แล้วก็ให้นิวจ่าย (หัวเราะ)
เรียกว่านิวอยู่ในวงจรชีวิตแสตมป์มาโดยตลอด
แสตมป์ : เขามาดูแลผมแบบเต็มที่ก็ประมาณ 3 ปีได้แล้วครับ ที่ต้องให้นิวเข้ามาช่วยดูแล เพราะผมเป็นคนที่ทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันไม่ได้ มันจะพัง นิวเลยจัดการให้หมด ผมขับรถไม่เป็น นิวก็เป็นคนขับให้ ผมแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยครับ
มีเรื่องไหนที่นิวอยากให้คุณทำให้บ้าง
แสตมป์ : เข้มแข็งครับ (หัวเราะ)
เท่าที่ทราบคุณเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกคนอื่นเอามากคุณมีวิธีรับมือกับความรู้สึกนี้อย่างไร
แสตมป์ :การคุยกับคนที่รักเราช่วยได้มากนะครับ พี่ช่างแต่งหน้าคนหนึ่งบอกผมว่า ถ้าเรารู้สึกแย่ก็ให้นึกถึงหน้าคนที่เรารักไว้ หรือให้ลองนึกถึงคนอื่นก็ช่วยได้เหมือนกัน อย่างบางครั้งเวลาโดนอะไรที่กระทบใจ เรามักจะคิดว่าจะมีใครมาเข้าใจเรา หรือคิดว่าเราโดนอยู่คนเดียว แต่เอาเข้าจริงๆ ก็พบว่าทุกคนก็เคยเจอแบบเรา สิ่งที่ทำได้คือเราต้องเข้มแข็ง ตอนนี้ผมดีขึ้นมากครับ เวลาจะช่วยทำให้เข้าใจอะไรต่างๆ ได้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะลำบาก (หัวเราะ) ผมว่าผมอยู่ในจุดที่ไม่เคยได้เลือกชีวิตของตัวเองเลย ใครผลักให้ทำอะไร เราทำ ๆๆ แล้วพอเจอเรื่องไม่ดี ก็จะรู้สึกว่าเราไม่ได้อยากจะทำตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมเราต้องมาเจอแบบนี้ แต่ตอนนี้เราเลือกแล้ว ซึ่งถ้ามันจะต้องเจอด้านไม่ดีก็ต้องทำใจ เพราะเราเลือกมันเอง
ตอนนี้พอได้เลือกในสิ่งที่อยากทำคุณเคยคิดไหมว่าวันข้างหน้าต้องเจออะไรบ้าง
แสตมป์ : ผมคงบอกไม่ได้ว่าเราจะต้องเจอเรื่องอะไร หรือเราคงดีไซน์ไม่ได้ว่ามันจะไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเลยหรอกครับ เพราะมันต้องมีอยู่แล้ว แต่เราจะเข้าใจมันได้มากกว่า
คนบางคนเจอเรื่องบางเรื่องอาจไม่รู้สึกอะไรเลย ในขณะที่บางคนเจอเรื่องแค่นิดเดียวแต่กลับรู้สึกแย่อย่างหนัก แสตมป์เป็นแบบไหนคะ
แสตมป์ : ผมว่าผมเป็นคนแบบหลังนะครับ (เคยรู้สึกแย่ที่สุดนานแค่ไหน) ประมาณ 3 เดือนครับ แต่ระหว่างทางก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นนิวก็เหนื่อยมาก มันเป็นช่วงฮอร์โมนตก เพื่อนผมก็เป็นนะ แล้วมาดีขึ้นตอนที่ผมเริ่มออกกำลังกาย ผมจะวิ่งบนลู่ ว่ายน้ำ เคยมีช่วงที่ทำได้ทุกวัน และก็เคยมีช่วงที่ทำไม่ได้เลย (หัวเราะ) อย่างช่วงที่จะมีคอนเสิร์ต ผมต้องออกกำลังกายทุกวัน ไม่อย่างนั้นจะเล่นคอนเสิร์ตไม่ไหว
นี่แสตมป์มาถึงจุดที่เล่นคอนเสิร์ตไม่ไหวแล้วเหรอคะ
แสตมป์ : (หัวเราะ) ถ้าวิ่งแล้วร่างกายจะดีขึ้นนะครับ
พูดถึงที่มาที่ไปของชื่อคอนเสิร์ตแสตมป์ฟ้าผ่า ให้เราฟังหน่อยได้ไหม
แสตมป์ : เป็นชื่อที่ผมโพล่งออกมาในห้องประชุมน่ะครับ ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย เพราะฟังติดหู ดูสนุก และไม่จริงจัง ชื่อมันดูการ์ตูนนิดๆ ดี ถ้าแสตมป์ ฟ้าร้องก็คงจะดูอึมครึม ฟ้าผ่าไปเลยแล้วกัน (หัวเราะ)
ครั้งนี้ผู้ชมจะได้ชมอะไรบ้าง
แสตมป์ : ผมได้คุยกับโชว์ไดเร็คเตอร์ ซึ่งแชร์ไอเดียว่าเขาอยากเห็นผมทำอะไรเหมือนตอนแรกๆ ที่มาทำงานเบื้องหน้าใหม่ๆ คืออยากทำอะไรก็ทำ อยากร้องอะไรก็ร้อง มีความสนุกสนาน กล้าลองผิดลองถูก ในขณะเดียวกันงานดนตรีของเราก็โปรขึ้นตามเวลาด้วย อยากจะเอายุคสมัยของเราทั้งหมดมารวมกัน ทั้งคาแร็คเตอร์ ความสบายๆ ของเราตอนที่ยังไม่ต้องแบกรับอะไร แล้วก็เอาดนตรีที่เรามีประสบการณ์มากขึ้นมารวมอยู่ในนี้ ผมอยากจะแสดงความเป็นมืออาชีพและมือสมัครเล่นไปด้วยกัน
มีเหตุการณ์ครั้งไหนที่คุณรู้สึกว่ามันฟ้าผ่าลงมาในจิตใจของคุณบ้าง
แสตมป์ : อย่างตอนทำ The Voice ผมไปเดินเล่นแล้วมีคนเข้ามาทัก ผมรู้สึกว่าฟ้าผ่าหัวนะ มันก็ดีอยู่หรอก แต่ผมทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าเราต้องทักเขาไหม เราต้องไปงานนี้ไหม เราต้องแคร์ใครบ้าง รู้สึกช็อค แต่ก็ผ่านมาได้แบบสะบักสะบอม ใช้เวลาแรมปีที่จะทำความเข้าใจ ถึงวันนี้ก็ดีขึ้น เพราะเราเลือกจะถอยออกมา ทุกอย่างก็ OK!สบายขึ้น (หมายความว่าสาเหตุที่คุณเลือกถอยออกมา เพราะรู้สึกว่าตรงนั้นมันไม่เหมาะกับเรา) ใช่ครับ
ซึ่งพอแฟนๆ รู้ว่าคุณไม่ได้เป็นโค้ชในซีซั่นนี้ ก็มีการแสดงความคิดเห็นมากมาย บางคนถึงกับบอกว่า จะไม่ดูรายการต่อ คุณมีอะไรจะบอกพวกเขาบ้าง
แสตมป์ : ผมว่ามันเป็นปฏิกิริยาเฉียบพลันน่ะครับ พอรายการออกอากาศเขาก็ลืม เขาก็จะสนุกไปกับมันและใช้ชีวิตต่อไป ผมว่าในยุคนี้ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้น หรืออะไรเปลี่ยนแปลง คนดูก็อยากแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเปลี่ยนใครก็ตาม มันเป็นวิถีของสังคมในเวลานี้ไปแล้ว แต่ก็อยากบอกว่าขอบคุณที่คิดถึงกัน รับรองว่ารายการสนุกแน่นอนหรืออาจจะสนุกกว่าเดิมด้วย
มีอะไรอยากฝากบอกโค้ชทั้ง 4 คนในรายการ The Voice ไหมคะ
แสตมป์ : ผมคิดถึงพี่คิ้ม (เจนนิเฟอร์ คิ้ม) มากเลยครับ อยากบอกทุกๆ ท่านว่าผมจะเป็นกำลังใจให้เสมอ และจะติดตามดู ถ้าเจ๊โดนดราม่าก็เชิญมาซบอกผมได้ (ที่ผ่านมาแสตมป์เคยไปซบอกพี่คิ้มไหมคะ) เคยครับ ซึ่งเจ๊เขาก็เคยซบอกผมเหมือนกัน (หัวเราะ) ผมคิดถึงเจ๊เป็นห่วงเจ๊ เพราะเจ๊เขาอ่อนไหวคล้ายๆ กับผม คนดูชอบคิดว่าพี่คิ้มเป็นคนแข็ง แต่ความจริงแล้วพี่คิ้มเป็นคนอ่อนโยนมาก ช่วยเข้าใจพี่คิ้มหน่อยนะครับ พี่คิ้มเป็นคนน่ารักมาก ส่วนพี่โจ้ (โจอี้ บอย) ก็ทักผมผ่านโซเชียลมีเดียทุกวัน บอกให้ออกกำลังกาย พี่เขาเป็นห่วงผมเสมอ ส่วนพี่ก้อง (สหรัถ สังคปรีชา) ผมคิดถึงเขานะครับ เขาเป็นแบบอย่างในหลายๆ เรื่องของผม เขาเป็นคนใจเย็น เกิดปัญหาอะไรก็จะคูลตลอด เขานิ่ง มีความเป็นผู้ใหญ่ ผมเคยถามเขาว่าทำไมพี่ก้องนิ่งจัง พี่ก้องก็ตอบกลับมาว่าพี่รู้ว่าพอเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้วมันจะจบอย่างไร ผมรู้สึกว่าเขาเจ๋งมากเลยนะครับ ส่วนสิงโต นำโชค (นำโชค ทะนัดรัมย์) นี่ผมไม่ห่วงเขาเลยนะ นอกจากพี่ก้องแล้ว สิงโตเป็นอีกคนที่ผมไม่ห่วงเลย คืออย่างพี่โจ้เขาก็ยังมีความอ่อนไหวอยู่บ้าง แต่สำหรับสิงโตเขาเป็นคนเจ๋ง อย่างแรกคือเขาไหวพริบดีมาก เวลาผมคุยกับเขา เขาหัวไวมาก สามารถตอบโต้กลับมาอย่างที่เราคาดไม่ถึง ฮาหงายกันทุกคน ทำให้คิดว่าเวลาแย่งชิงลูกทีม สิงโตทำได้หายห่วงแน่นอน นอกจากนี้สิงโตยังเติบโตมาจากดนตรีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหมอลำ ลูกทุ่ง เพลงร็อก เขาผ่านอะไรมาเยอะมาก เรื่องดนตรีเลยไม่ต้องห่วง อีกอย่างคือเขามีครอบครัวที่มั่นคง ผมไม่กลัวว่าเขาจะหวั่นไหวอะไรเลย สิงโตเป็นคนที่ไม่คิดเล็กคิดน้อย ซึ่งนั่นคือคุณสมบัติของโค้ชที่ดีครับ ในความนิ่งนี่เขาเทียบเคียงกับพี่ก้องได้เลย
เคยมีคนพูดว่าอยากได้แฟนหล่อเหมือนพี่ก้อง เท่เหมือนพี่โจอี้ น่ารักเหมือนแสตมป์ ความจริงแล้วแสตมป์เป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงหลายคนนะคะ
แสตมป์ : ผมว่าไม่น่าจะใช่นะครับ ผมยังต้องบอกนิวทุกวันว่าขอบคุณที่อยู่กับเรานะ เพราะว่าเวลาผมอารมณ์ดีก็ดี แต่เวลาผมรู้สึกแย่ ผมจะแย่มากครับ
แล้วทำไมนิวยังอยู่เคียงข้างแสตมป์ล่ะคะ
แสตมป์: เป็นเพราะสงสารหรือเปล่า (หันไปถามนิว ซึ่งนิวอมยิ้ม)
หลายคนมักคาดหวังว่าเจอแสตมป์แล้วโลกจะสดใส
แสตมป์ : แต่เวลาซีเรียส ผมก็ซีเรียสมากนะครับ ซึ่งมันก็อาจจะสุดโต่ง ดังนั้นคนที่อยู่ด้วยกันก็ต้องใช้ความใจเย็น (นิวเสริมว่าก็แค่เข้าใจ) นิวเป็นคนคิดน้อย ลืมง่ายน่ะครับ
อารมณ์ร้อนบ่อยไหมคะ
แสตมป์ : ก็มีบ้างนะครับ เรื่องที่จะทำให้ผมรู้สึกปรี๊ดคือความล่ก ต้องเอาเดี๋ยวนี้ หรือเวลาที่ต้องรับผิดชอบอะไรแล้วเราทำไม่ได้ อย่างเวลาไปเล่นดนตรีแล้วเขาดูแลลูกวงเราไม่ดี ผมก็จะโกรธ เพราะมองว่าเราต้องให้เกียรติกัน ถ้าผมอารมณ์ไม่ดีคนใกล้ตัวจะรู้ อย่างนิวนี่รู้เลย (หัวเราะ) แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นครับ ก็เพราะผ่านการเป็นโค้ชรายการ The Voice นี่ล่ะครับ
The Voice ได้มอบประสบการณ์อะไรให้คุณบ้าง
แสตมป์ : รายการนี้ทำให้ผมโตขึ้นเยอะ ทำให้บริหารจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ดีขึ้น เรียนรู้ว่ามีคนประเภทที่พร้อมทำร้ายเราโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อก่อนนี้ผมเคยคิดว่าทำไมเขาถึงทำกับเราขนาดนี้ เราไปทำอะไรให้ตอนไหน บางคนอาจจะหมั่นไส้หน้าอูมๆ ของผมนะ (มีคนพูดอย่างนี้จริงๆ เหรอ) มีครับ (หัวเราะ) ในขณะเดียวกัน ผมก็มีโอกาสทำงานกับนักดนตรีหลากหลาย ฟังเพลงหลากหลายไปโดยปริยาย
มีนิสัยข้อไหนของตัวเองที่อยากปรับปรุงบ้าง
แสตมป์ : น่าจะเป็นการเลือกสิ่งที่เข้ามาอยู่ในใจเรา เพราะผมไม่ค่อยเลือก และชอบเก็บทุกอย่างมาเป็นภาระในใจ เขาโยนขยะทิ้งไว้ก็เก็บมาดม เขาโยนคำชมก็เก็บมาปลื้ม ของพวกนี้มันทำลายเรานะ คิดว่าคงต้องเลิกสนใจว่าคนอื่นเขาจะมองเราอย่างไร (คำพูดหรือประโยคเดิมๆ ที่นิวมักจะพูดกับแสตมป์อยู่เสมอเวลาที่เริ่มคิดมากคืออะไรคะ) ช่างมันเถอะเธอ ไม่เห็นต้องสนใจอะไรเลย ผมว่ามันยากนะครับ แต่ถ้าทำได้ก็เก่งนะ ทุกวันนี้เวลามีเรื่องเครียดเข้ามา ผมจะใช้เวลาอยู่กับมันน้อยลงถ้าเทียบกับเมื่อก่อน
สามารถอ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่นิตยสาร OK! vol.7 no.258 September 2015