"แดรี่โฮม" โรงนมออร์แกนิกส์ ปรุงแต่งธุรกิจด้วยหัวใจ
"แดรี่โฮม" เริ่มต้นธุรกิจจากความคิดแรกของ "พฤฒิ เกิดชูชื่น" กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งบริษัท แดรี่ โฮม จำกัด ที่ต้องการผลิตน้ำนมที่มีคุณภาพสูงออกจำหน่ายในราคายุติธรรมสำหรับลูกค้า และได้ค้นพบว่าแนวทางที่เป็นไปได้คือการผลิตน้ำนมจากการเลี้ยงโคนมโดยอาศัยการพึ่งพิงจากวิถีธรรมชาติ ไม่มีการใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะในการผลิตตามระบบออร์แกนิกส์ฟาร์ม
เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างจุดเด่นให้แก่ผลิตภัณฑ์ เพราะในพื้นที่ส่วนใหญ่ชอบการเลี้ยงโคนมแบบเน้นผลผลิต จึงทำให้ต้องมีการยุ่งเกี่ยวกับสารเคมี ดังนั้นผลิตภัณฑ์ของแดรี่โฮมจึงโดดเด่นในการให้คุณค่าทางอาหารที่มาก กว่าผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาดทั่วไป ทั้งยังมีรสชาติดีและมีความปลอดภัยแก่ลูกค้า ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์จากฟาร์มออร์แกนิกส์
ด้วยความคิดเช่นนี้จึงทำให้แดรี่โฮม ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี จากวันที่เริ่มเปิดร้านนมเล็ก ๆ ที่มีเพียง 3 โต๊ะ อยู่บนถนนมิตรภาพ จ.สระบุรี เมื่อ 14 ปีผ่านมา จนถึงวันนี้ธุรกิจเติบโตขึ้น มีการแตกไลน์ของผลิตภัณฑ์นมให้มีหลากหลายรสชาติ ไม่ว่าจะเป็นโยเกิร์ต, ไอศกรีม, เบเกอรี่ และไส้กรอก รวมถึงการขยับขยายพื้นที่ตั้งโรงงาน โดยแยกจากพื้นที่เดิม และส่งผลิตภัณฑ์เข้าจำหน่ายในร้านค้าปลีกระดับพรีเมี่ยมและร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ และยังได้รับความสนใจจากตลาดต่างประเทศด้วย
"พฤฒิ" เล่าว่า ก่อนหน้านี้เขาเป็นพนักงานของบริษัท ฟาร์มโคนม ไทย-เดนมาร์ค นับสิบปีที่เขาทำหน้าที่สอนเกษตรกรให้รู้จักการเลี้ยงโคนม ก่อนตัดสินใจลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว เวลานั้นคิดว่าจะทำอย่างไรเราจึงผลิตนมที่ดีที่สุด คือไม่ได้เน้นที่ปริมาณแต่เป็นการเน้นคุณภาพ และต้องมีต้นทุนต่ำ จึงออกไปถ่ายทอดความรู้ถึงเทคนิคและวิธีการทำฟาร์มโคนมออร์แกนิกส์ให้แก่เกษตรกรที่สนใจและเห็นด้วยกับวิถีของเขาที่จะเปลี่ยนจากการเลี้ยงโคนมแบบเดิมและหันมาใส่ใจกับความปลอดภัยของผู้บริโภคมากขึ้น
"การเลี้ยงแบบออร์แกนิกส์หมายถึงพื้นที่เลี้ยงและโคนมจะต้องปลอดสารเคมีในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นจึงจะเข้าสู่ระบบของการเลี้ยงแบบธรรมชาติ ปล่อยให้วัวเดินออกไปเล็มหญ้าตามธรรมชาติ จัดหาอาหารจากการปลูกหญ้าที่ปลอดสารเคมี และจัดหาวิธีทางธรรมชาติที่จะมาจัดการเรื่องต่าง ๆ จึงทำให้ลดต้นทุนเรื่องอาหารสัตว์, ปุ๋ยเคมี, ยาปฏิชีวนะ คนบริโภคก็มีสุขภาพดี"
"การทำเช่นนี้ผลผลิตอาจลดลงไปมากกว่าครึ่ง แต่ผลที่ได้คือต้นทุนก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน เหลือเพียง 1 ใน 4 จึงทำให้กำไรกลับมาเยอะกว่าการเลี้ยงแบบเดิมที่มีต้นทุนสูง เพราะรายจ่ายน้อยมาก แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น ต้องมีการเตรียมการอย่างดี และอาศัยความอดทนอย่างมาก จึงเป็นปัญหาของการเปลี่ยนแปลงเกษตรกรที่จนถึงวันนี้มีเพียง 10 ฟาร์มเท่านั้นที่เข้าร่วมกับแดรี่โฮม"
ไม่เพียงด้านผลผลิตที่สะท้อนความเอาใจใส่ผู้บริโภค แดรี่โฮมยังใส่ใจไปถึงคู่ค้า, พนักงาน และชุมชน และเรื่องนี้ "พฤฒิ" เล่าให้ฟังต่อว่า นอกจากเราจะรับนมจากเกษตรกรแล้ว เรายังส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกผักออร์แกนิกส์และเปิดพื้นที่ให้นำมาขายที่ร้านด้วย
"จริง ๆ เราอยากให้เขามีอาหารดี ๆ กิน เหลือใช้ค่อยนำมาขาย ขณะที่พนักงานเรามีโครงการแยกขยะและนำมาเปลี่ยนเป็นเงินไปเลี้ยงอาหารกัน เราไม่ได้ทำให้มีจิตสำนึกเท่านั้น แต่ทำเพื่อให้เขามีผลตอบแทน เพราะเขาจะได้นำสิ่งเหล่านี้กลับไปทำต่อที่บ้าน และยังมีโครงการที่ทำร่วมกับคนในชุมชน คือการอบรมเด็กอนุรักษ์น้ำ เราทำมากว่า 5 ปี มีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ"
"ปีนี้เราพยายามขยายขนาดของฝายที่เราไปสร้างบนเขา เป็นโครงการที่พนักงานใช้เวลาว่างในวันหยุดไปทำงานกัน เพื่อช่วยยกระดับจิตใจของพวกเขา"
หลายโครงการมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสถาบันการศึกษาเพื่อร่วมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่น นมก่อนนอน, นมสารอาหารสูง ฯลฯ รวมถึงการทำงาน อย่าง ระบบการจัดการน้ำเสียที่นำกลับมาหมุนเวียนใช้ในฟาร์มทั้งหมด การปรับระบบความเย็นประหยัดพลังงาน, การจัดทำคาร์บอนฟุตพรินต์ และอีกไม่นานคงจะเห็นบรรจุภัณฑ์
โยเกิร์ตที่สามารถย่อยสลายได้ ที่แดรี่โฮมเป็นเจ้าแรกในอุตสาหกรรมเดียวกันที่นำมาใช้ รวมถึงโครงการเก็บน้ำฝนมาใช้ในการผลิตเพื่อลดปัญหาการปนเปื้อนสารเคมีในแหล่งน้ำด้วย
"พฤฒิ" บอกว่า เรามองเห็นเทรนด์ของคนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ผมเชื่อว่า ถ้าสามารถทำได้สำเร็จ เกษตรกรจะไม่ต้องผูกติดอยู่กับระบบผูกขาด สูญเสียเงินจากการนำเข้าสารเคมี, ยา และอาหารสัตว์ที่ด้อยคุณภาพที่มีการตัดต่อพันธุกรรม และสารเคมี
"ที่จะส่งผลไปถึงคุณภาพของดินและน้ำของประเทศเรา รวมถึงคุณภาพชีวิตของคน ทั้งยังสามารถช่วยเปลี่ยนประเทศไทยอีกด้วย เพราะสิ่งที่ทำวันนี้ไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นทางรอด"
เขาพูดถึงความหวังที่อยากเห็นทิ้งท้ายในวันข้างหน้า !
ขอบคุณภาพ dairy home