16 มี.ค.นี้ ปรับขึ้นแอลพีจีและเอ็นจีวี
กบง.ยังไม่มีมติให้ปรับเพิ่มอัตราจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันในส่วนของน้ำมันเบนซิน ลิตรละ 1 บาท ขณะที่กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในประเทศให้เพิ่มการสำรองน้ำมันมากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมหากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับนานาชาติเลวร้ายมากขึ้น
นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง.ยังไม่มีการพิจารณาเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเบนซิน ตามมติของคณะรัฐมนตรี ให้เก็บลิตรละ 1 บาท โดยที่ประชุม กบง. จะพิจาณารายละเอียดอีกครั้ง ก่อนวันที่ 16 มีนาคมนี้ โดยที่ประชุมมีมติให้ปรับขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ หรือ เอ็นจีวี 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม และปรับขึ้นก๊าซหุงต้ม หรือ แอลพีจี ภาคขนส่ง 75 สตางค์ต่อลิตร ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเดิม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคมนี้ โดยจะส่งผลให้ราคาเอ็นจีวีหน้าปั๊มปรับขึ้นจาก 9.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10 บาทต่อกิโลกรัม และแอลพีจีจากหน้าปั๊มเพิ่มราคาเป็น 20.38 บาทต่อกิโลกรัม และที่ประชุมยังอนุมัติให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปรับเพิ่มเพดานกู้เงินเพิ่ม 20,000 ล้านบาท จากเดิม 10,000 ล้านบาท รวมเป็น 30,000 ล้านบาท เนื่องจากสถานะของกองทุนน้ำมันขาดทุนอยู่กว่า 20,000 ล้าน และเงินกู้ในงวดแรก ใช้ไปแล้ว กว่า 5,000 ล้านบาท
ส่วนสถานการณ์ความขัดแย้งของอิหร่านกับนานาชาติ ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันตลาดโลกผันผวนสูงว่า กระทรวงพลังงาน สั่งให้กรมธุรกิจพลังงาน ประชุมร่วมกับกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในประเทศ เพื่อหามาตรการแก้ปัญหา หากสถานการณ์อิหร่านกับนานาชาติเลวร้าย และทำให้น้ำมันจากตะวันออกกลาง ไม่สามารถจัดส่งมาได้ เบื้องต้นได้ขอความร่วมมือกับกลุ่มโรงกลั่น เพิ่มสำรองน้ำมันมากขึ้น เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดในปัจจุบัน ซึ่งโรงกลั่นน้ำมันแจ้งว่าสามารถเพิ่มการสำรองได้มากขึ้นเป็น 64 วัน จากปัจจุบันสำรองที่มีใช้ได้อยู่ทั้งหมดอยู่ที่ 55 วัน
ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบายพลังงานของรัฐบาลว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบายพลังงานที่ซ้ำเติมค่าครองชีพประชาชน ส่งผลให้ต้นทุนสินค้ามีราคาแพงขึ้น เพราะทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างมาก และเป็นการบริหารที่ไม่ตรงกับที่พรรคเพื่อไทยเคยให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชน กลายเป็นว่านโยบายทั้งหมดมีเพื่อหาเสียง แต่ทำโปรโมชั่นจริงอยู่ 2-3 เดือน พร้อมระบุ อยากให้รัฐบาลวางหลักให้ชัดเจนว่าจะบริหารอย่างไร ไม่ใช่ด้านหนึ่งจะเก็บเงินเบนซินเพิ่ม แต่อีกด้านหนึ่งจะตรึงราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นการบริหารพลังงานตามสถานการณ์