สรุปประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินรายวัน - ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย

สรุปประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินรายวัน - ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Snapshot   สหรัฐอเมริกา           -  ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) รายงานว่า ยอดการกู้ยืมเงินของผู้บริโภคสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 2.04 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้น 10% ต่อปี สู่ระดับ 2.48 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากระดับ 2.4573 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน ความต้องการสินเชื่อหมุนเวียน (revolving credit) ซึ่งรวมถึงวงเงินสินเชื่อผ่านบัตรเครดิต ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.5% ต่อปี ใขณะที่ความต้องการสินเชื่อประเภทอื่นๆ ซึ่งรวมถึงสินเชื่อซื้อรถยนต์ เพิ่มขึ้น 10.7% ต่อปี ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นดังกล่าวบ่งชี้ว่าภาคครัวเรือนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการกู้ยืมเงิน ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์ก็พร้อมที่จะปล่อยเงินกู้มากขึ้น           -  ดัชนีแนวโน้มการจ้างงานที่จัดทำโดย Conference Board ในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น 0.66% (m-o-m) สู่ระดับ 104.32 จากระดับ 103.64 ในเดือนพฤศจิกายน และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวปีก่อนเพิ่มขึ้นเท่ากับเดือนก่อนที่ 4.7% (y-o-y)   ยุโรป:  สหภาพยุโรป           -  ยูโรสแตทรายงานว่าอัตราการว่างงานของเขตยูโรโซนในเดือนพฤศจิกายนยังคงอยู่ในระดับสูงเท่าเดิมที่ 10.3% หรือคิดเป็น 16.3 ล้านคน ซึ่งถือเป็นสถิติที่สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลมา โดยสเปนมีอัตราการว่างงานสูงสุดที่ 22.9%           -  นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวว่า ยังคงเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของสกุลเงินยูโร และไม่คิดว่าปีนี้จะเป็นจุดจบของสกุลเงินดังกล่าว นอกจากนี้ นางลาการ์ด ยังได้เปิดเผยว่า ไอเอ็มเอฟเตรียมปรับลดแนวโน้มการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2555 นี้ลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้เดือนกันยายน 2554 ที่ 4.0% โดยจะเปิดเผยตัวเลขออกมาในวันที่ 25-26 มกราคมนี้           -  กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประกาศว่า ไอเอ็มเอฟเริ่มขาดความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซ เนื่องจากรัฐบาลกรีซยังไม่เร่งดำเนินการปฏิรูประบบการคลังมากเท่าที่ควร ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟคาดการณ์เศรษฐกิจกรีซปี 2554 หดตัว 6% ขณะที่รัฐบาลกรีซคาดการณ์ไว้ที่หดตัว 5.5%   เยอรมนี           -  รัฐบาลเยอรมนีประกาศว่า นายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีของอิตาลีจะเดินทางมายังกรุงเบอร์ลินในวันพุธที่ 11 มกราคม เพื่อจัดการเจรจาเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ของยูโรโซนร่วมกับนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี โดยการเจรจาดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทวิภาคี สถานการณ์ในยูโรโซน รวมถึงความคืบหน้าทางเศรษฐกิจในยุโรป ตลอดจนเพื่อเตรียมการประชุมสุดยอดผู้นำของยุโรป ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2555   อังกฤษ           -  รายงานจากซาแธม เฮ้าส์ สถาบันนักคิดชั้นนำของอังกฤษ ระบุว่า เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันอ่อนแอและเปราะบางลงมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมา ทั่วโลกต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติบ่อยขึ้นและหนักมากจนถึงขั้นที่กระทบต่อเศรษฐกิจของทุกประเทศ โดยเห็นได้ชัดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่เข้าถล่มญี่ปุ่น รวมถึงอุทกภัยครั้งใหญ่ของไทยเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจโรงงานหยุดชะงักจนกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น รถยนต์ คอมพิวเตอร์และการขนส่ง ทั้งนี้ ซาแธม เฮ้าส์ เรียกร้องให้ทุกรัฐบาลและภาคเอกชนทั่วโลกเร่งเสริมมาตรการรับมือ เช่น ด้านการสื่อสาร ระบบการประกันภัย การลงทุนป้องกันภัยและการฝึกซ้อม   เบลเยียม           -  รัฐบาลเบลเยียมระงับรายจ่ายภาครัฐมูลค่า 1.3 พันล้านยูโร (1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) หลังจากสหภาพยุโรป เตือนว่าเศรษฐกิจเบลเยียมที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ อาจส่งผลให้รัฐบาลเบลเยียมไม่สามารถลดยอดขาดดุลงบประมาณต่อ GDP ปี 2555 ได้ตามเป้าที่ 2.8% ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์ยอดขาดดุลงบประมาณต่อ GDP ของเบลเยียมปี 2555 จะอยู่ที่ 3.3%   เอเชีย: จีน           -  การให้สินเชื่อและปริมาณเงินของจีนในเดือนธันวาคมขยายตัวสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ โดยการให้สินเชื่อใหม่ของธนาคารพาณิชย์ในเดือนธันวาคมมีจำนวนทั้งสิ้น 640.5 พันล้านหยวน ( 101 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ) สูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์จากการสำรวจโดย Bloomberg ที่คาดการณ์ไว้ที่ 575 พันล้านหยวน และเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับจากเดือนเมษายน สำหรับปริมาณการให้สินเชื่อของทั้งปี 2554 อยู่ที่ 7.47 ล้านล้านหยวน ลดลงจาก 7.95 ล้านล้านหยวนในปี 2553 ขณะที่ปริมาณเงิน M2 ในเดือนธันวาคมขยายตัว 13.6% จากเดือนเดียวกันปีก่อน ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 12.9%           -  ธนาคารกลางจีนเปิดเผยในการประชุมครั้งล่าสุดว่าจีนจะยังคงใช้นโยบายการเงินอย่างระมัดระวังในปีนี้ โดยจะมีการปรับนโยบายอย่างเหมาะสมและสอดคล้องในเรื่องของเวลา โดยแถลงการณ์บนเว็บไซต์ของธนาคารกลางจีนระบุว่าธนาคารกลางจีนจะรักษาระดับการระดมทุนให้สอดคล้องกับกรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาคอย่างระมัดระวัง โดยจะมีการกำหนดใช้เครื่องมือด้านนโยบายต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย, อัตราแลกเปลี่ยน, การดำเนินการในตลาดเปิด และสัดส่วนการกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนจะปรับโครงสร้างด้านสินเชื่อให้มีความเหมาะสมต่อความคืบหน้าของเศรษฐกิจที่แท้จริง โดยจะมุ่งเน้นมากขึ้นในภาคการเกษตร, โครงการบ้านเอื้ออาทร และสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม           -  ข้อมูลสถิติที่เปิดเผยโดยเครือข่ายการบริหารธุรกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในปักกิ่งระบุว่า ทั้งยอดขายและราคาบ้านในปักกิ่งต่างลดลงอย่างหนักในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม (1-7 มกราคม) โดยยอดการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยในปักกิ่งปรับตัวลดลง 64.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แตะที่ 2,303 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ข้อมูลสถิติบ่งชี้ว่า ยอดขายที่อยู่อาศัยในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 1,732 ยูนิต ลดลง 37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ในขณะที่ยอดธุรกรรมของที่อยู่อาศัยมือสองอยู่ที่ 571 ยูนิต ลดลง 84.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะเดียวกัน ข้อมูลระบุว่า ราคาเฉลี่ยของอพาร์ทเมนท์มือสองในปักกิ่งลดลง 19.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่า ผู้ซื้อบ้านกำลังรอดูทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปักกิ่ง เนื่องจากยอดธุรกรรมและราคาบ้านต่างก็ปรับตัวลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และคาดว่ายอดธุรกรรมเกี่ยวกับบ้านในปักกิ่งจะซบเซาในเดือนมกราคม นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังระบุว่า วันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่และวันหยุดช่วงเทศกาลตรุษจีนต่างก็ตรงกับเดือนมกราคม ส่งผลให้มีวันทำงานเพียงแค่ 17 วัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของปักกิ่งมีภาวะซบเซา ทั้งนี้นักวิเคราะห์เชื่อว่ารัฐบาลจีนจะยังคงใช้มาตรการควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง เช่น ควบคุมการซื้อบ้าน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ยอดธุรกรรมเกี่ยวกับบ้านในปักกิ่งมีแนวโน้มปรับตัวลดลงในระยะยาว   ไทย           -  กระทรวงการคลัง อนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศ 7 ราย ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในไทย วงเงินรวม 6.6 หมื่นล้านบาท ภายในวันที่ 30 กันยายน 2555 สำหรับรายชื่อและวงเงินที่ได้รับอนุญาตของนิติบุคคลต่างประเทศทั้ง 7 รายประกอบด้วย Australia and New Zealand Banking Corporation วงเงิน 8 พันล้านบาท, Citigroup Inc. วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท, Hana Bank วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท, Industrial Bank of Korea วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท, The Korea Development Bank วงเงิน 8 พันล้านบาท, The Export-Import Bank of Korea วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท และ Korea National Oil Corporation วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ กระทรวงการคลังกำหนดให้ผู้ที่ได้รับอนุญาต หรือตัวแทนจะต้องยื่นหนังสือรายงานสถานะความคืบหน้าการเตรียมการออกพันธบัตร หรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในไทย ภายในเดือนมีนาคม และ กรกฎาคม 55 สำหรับการยื่นคำขออนุญาตออกพันธบัตร หรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในไทยต่อรมว.คลังนั้นสามารถทำได้ปีละ 3 ครั้ง คือภายในเดือนมีนาคม, กรกฎาคม และพฤศจิกายน           -  ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คาด ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) ปี 2554 อาจขยายตัวต่ำกว่า 1.8% ที่เคยประเมินไว้เมื่อเดือนตุลาคม จากบผลกระทบของภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่ นอกจากนี้ ยังระบุอีกว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในครั้งต่อไป จะมีการนำปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจโลก ที่ชะลอตัวมากกว่าคาด เข้าไปพิจารณารวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ภายหลังน้ำท่วมด้วย ทั้งนี้ ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย อยู่ที่ 3.25%             -  สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)เผยว่า การที่รัฐบาลเตรียมกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทภายใต้ พ.ร.ก.การเงินในการนำไปใช้บริหารจัดการน้ำระยะยาวจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 40% เป็น 45-47% ขึ้นอยู่กับการออกพันธบัตรการกู้เงิน แต่ไม่ได้กระทบความเชื่อมั่นเนื่องจากหนี้สาธารณะไม่ได้อยู่ในระดับที่สูง ทั้งนี้ สำหรับการกู้เงินดังกล่าวจะดำเนินการเช่นเดียวกับการกู้เงินในโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งการกู้เงินขึ้นอยู่กับการเบิกจ่ายเงินในแต่ละโครงการ จึงอาจจะเป็นการกู้เงินจากสถาบันการเงินในลักษณะ Term Loan และจะมีการ Roll Over เป็นเงินกู้ระยะยาวภายหลัง หากจะออกเป็นพันธบัตรรัฐบาลขณะนี้มีต้นทุนที่ต่ำกว่าโครงการไทยเข็มแข็ง ซึ่งพันธบัตรอายุ 10 ปี ปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.2% ขณะที่พันธบัตรไทยเข้มแข็งดอกเบี้ยอยู่ที่ 4% โดยปัจจุบันมีพันธบัตรรัฐบาลที่ออกไปแล้ว และมีกำหนดชำระคืนมีอายุสูงสุดที่ 16 ปี แต่หลังการออก พ.ร.ก.กู้เงินอีก 3.5 แสนล้านบาท คาดว่าภาระการชำระหนี้ได้ทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 30 ปี พร้อมระบุถึง การโอนภาระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน วงเงิน 1.14 ล้านล้านบาทให้ธนาคารแห่งประเทศไทยว่า หาก ธปท.มีรายได้ปีละ 70,000-78,000 ล้านบาท เพื่อนำมาชำระหนี้เงินต้น 30,000 ล้านบาท และดอกเบี้ย 40,000-45,000 ล้านบาท ก็จะทำให้ภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ชำระคืนภาระหนี้ได้หมดภายในเวลา 18 ปี ทั้งนี้ หากประเมินความสามารถในการหารายได้ตามกฎหมาย ธปท.สามารถเก็บค่าธรรมเนียมจากธนาคารพาณิชย์ 1% ของยอดเงินฝาก จากปัจจุบันสถาบันคุ้มครองเงินฝากจัดเก็บค่าธรรมเนียม 0.4% ธปท.จึงเหลือช่องที่จะเก็บได้อีก 0.6% เพื่อนำมาชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ นอกจากนี้หาก ธปท.สามารถบริหารจัดการในบัญชีผลประโยชน์ให้เกิดผลกำไรก็นำมาชำระคืนเงินต้นได้ พร้อมระบุว่า สบน.คงต้องชะลอการ pre funding หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ที่ครบกำหนดชำระ จำนวน 8,000 ล้านบาท ในวันที่ 10 มกราคม 2555 นี้ และ 16,000 ล้านบาท ในวันที่ 18 มกราคม 2555 ออกไป เพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับการโอนภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ           -  สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ประมาณความต้องการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้นในปี 2555 อยู่ที่ระดับ 1.94 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 4.8% จากปี 2554 หลังการคาดการณ์อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) คาดจะขยายตัว 4.5 — 5.5% ประกอบกับปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ และการเร่งรัดการลงทุนเพื่อปรับปรุงฟื้นฟูกิจการต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมในช่วงปลายปี 54 ที่ผ่านมา พร้อมคาดราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 105 — 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 105 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล   Money Market           -  บาท/ดอลลาร์ เมื่อวันจันทร์ (9ม.ค.)ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินในเอเซียส่วนใหญ่รวมทั้งเงินบาทในช่วงเช้าวันนี้สอดคล้องกับภาวะที่ดัชนีตลาดหุ้นเอเซียส่วนใหญ่ลดลงจากการที่ตลาดรอดูผลการประชุมระหว่างผู้นำเยอรมนีและฝรั่งเศสท่ามกลางสัญญาณที่ว่าวิกฤติหนี้ยุโรปจะส่งผลลบอย่างมากต่อการเติบโตของเศรษฐกิจภูมิภาค อีกทั้งการที่ประธาน Fed สาขา St.Louis กล่าวว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจจะไม่ออกแผนการซื้อพันธบัตรรอบใหม่ก็ยิ่งส่งผลให้ตลาดมองแนวโน้มเศรษฐกิจโลกไปในทางลบมากขึ้น ดังนั้นนักลงทุนจึงขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมาและเพิ่มสัดส่วนการถือสินทรัพย์ในสกุลเงินที่มีความเสี่ยงต่ำเช่นดอลลาร์สหรัฐฯและเยนมากขึ้น           -  เยน/ดอลลาร์ เมื่อวันจันทร์ (9ม.ค.) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินเยนในช่วงเช้าวันนี้ โดยวันนี้นักลงทุนเพิ่มการถือดอลลาร์สหรัฐฯและเยนมากขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกหลังข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปโดยรวมชี้ไปในทางลบและธนาคารกลางสหรัฐฯอาจอาจจะไม่ออกแผนการซื้อพันธบัตรรอบใหม่           -  ยูโร/ดอลลาร์ เมื่อวันจันทร์ (9ม.ค.) ค่าเงินยูโรอ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินเยนในช่วงเช้าก่อนการประชุมระหว่างผู้นำเยอรมนีและฝรั่งเศสอีกทั้งตลาดคาดการณ์ว่าตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีลดลงในเดือนพฤศจิกายน อย่างไรก็ดีในช่วงตลาดสหรัฐฯค่าเงินยูโรได้ปรับตัวแข็งขึ้น   Capital Market           -  ตลาดสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (9ม.ค.) ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบาง ขณะที่นักลงทุนยังคงระมัดระวังในการซื้อขายก่อนการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทสหรัฐ และการประมูลพันธบัตรยุโรปในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแผนการแก้ไขวิกฤติการเงินยูโรโซน ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 32.77 จุด สู่ระดับ 12,392.69, ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 2.89 จุด สู่ระดับ 1,280.70 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับตัวขึ้น 0.09% สู่ 2,676.56           -  ตลาดหุ้นเอเชีย เมื่อวันจันทร์ (9ม.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นเอเซียส่วนใหญ่ลดลงในช่วงเช้าวันนี้จากการที่ประธาน Fed สาขา St.Louis กล่าวว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจจะไม่ออกแผนการซื้อพันธบัตรรอบใหม่เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มชี้ไปในทางบวกมากขึ้น ขณะเดียวกันราคาหุ้นของบริษัทที่มีสัดส่วนการส่งออกไปยังยุโรปมากก็มีราคาลดลงหลังจากดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจยุโรปลดลงไปอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2ปี และคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานเยอรมนีลดลงมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี สำหรับตลาดหุ้นจีนช่วงเช้าปรับตัวสูงขึ้นจากการที่ข้อมุลเงินให้สินเชื่อใหม่และปริมาณเงินของจีนเดือนธันวาคมขยายตัวสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ และนักลงทุนคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนจะเร่งออกมาตรการแก้ปัญหาสภาพคล่องตึงตัวจากการที่เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวลดลง โดยในช่วงบ่ายดัชนีตลาดหุ้นเอเซียโดยรวมปรับสูงขึ้นตามตลาดหุ้นจีน โดยปิดตลาดวันนี้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต และดัชนีฮั่งเส็ง เพิ่มขึ้น 2.89% และ 1.47% ตามลำดับ           -  ตลาดหุ้นไทยเมื่อวันจันทร์ (9 ม.ค)ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงเคลื่อนไหวในช่วงแคบๆในช่วงเช้าวันนี้โดยปัจจัยลบจากวิกฤติหนี้ยุโรปยังกดดันตลาดหุ้นเอเซียโดยรวม ขณะเดียวกันการที่ประธาน Fed สาขา St.Louis ชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจจะไม่ออกแผนการซื้อพันธบัตรรอบใหม่ก็ส่งผลลบต่อตลาดหุ้นวันนี้ นอกจากนี้ในส่วนของปัจจัยในประเทศก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางบวก อย่างไรก็ดีในช่วงบ่ายดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย SET INDEX ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 8.58จุด            โดย สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประจำวันที่ 10 มกราคม  2555  

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook