กลุ่ม ปตท.ขยายสถานีรับ-จ่ายก๊าซ LNG
กลุ่ม ปตท. เดินหน้าขยายสถานีรับ-จ่ายก๊าซ LNG รองรับความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นายชาครีย์ บูรณกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. มีแผนขยายความสามารถของสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) หรือ LNG Receiving Terminal เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคไฟฟ้าที่ความต้องการสูงขึ้น ปีละ 5-6% ตามการเติบโตทางเศรษฐกิจและจำนวนประชากรที่มากขึ้น โดยคาดการณ์ว่า ในปี 2556 ความต้องการใช้ก๊าซของไทย เฉลี่ยอยู่ที่ 4,600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่ ไทยจัดหาก๊าซฯ จากแหล่งในอ่าวไทยและบนบกรวมกันได้เพียง 3,600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เทียบเท่า 78% ของความต้องการ ที่เหลืออีก 22% ต้องนำเข้าจากสหภาพพม่าและนำเข้าจากต่างประเทศในรูป LNG
ดังนั้น กลุ่ม ปตท. จึงเร่งเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อรองรับการจัดหาและนำเข้า LNG ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้านการมีสถานีรับ-จ่ายก๊าซ LNG เป็นแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีภูมิศาสตร์ที่เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคที่สำคัญ
ขณะที่ นายภาณุ สุทธิรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการจัดหาบริษัทผู้รับเหมา เพื่อก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซ LNG ระยะที่ 2 ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเก็บและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซ จากปัจจุบัน 5 ล้านตันต่อปี ขยายเป็น 10 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงกลางปี 2560 เพื่อรองรับแผนการจัดหาเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้า และเสริมความมั่นคงในการจัดหาก๊าซธรรมชาติของประเทศในระยะยาว
นายชาครีย์ บูรณกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. มีแผนขยายความสามารถของสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) หรือ LNG Receiving Terminal เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคไฟฟ้าที่ความต้องการสูงขึ้น ปีละ 5-6% ตามการเติบโตทางเศรษฐกิจและจำนวนประชากรที่มากขึ้น โดยคาดการณ์ว่า ในปี 2556 ความต้องการใช้ก๊าซของไทย เฉลี่ยอยู่ที่ 4,600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่ ไทยจัดหาก๊าซฯ จากแหล่งในอ่าวไทยและบนบกรวมกันได้เพียง 3,600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เทียบเท่า 78% ของความต้องการ ที่เหลืออีก 22% ต้องนำเข้าจากสหภาพพม่าและนำเข้าจากต่างประเทศในรูป LNG
ดังนั้น กลุ่ม ปตท. จึงเร่งเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อรองรับการจัดหาและนำเข้า LNG ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้านการมีสถานีรับ-จ่ายก๊าซ LNG เป็นแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีภูมิศาสตร์ที่เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคที่สำคัญ
ขณะที่ นายภาณุ สุทธิรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการจัดหาบริษัทผู้รับเหมา เพื่อก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซ LNG ระยะที่ 2 ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเก็บและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซ จากปัจจุบัน 5 ล้านตันต่อปี ขยายเป็น 10 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงกลางปี 2560 เพื่อรองรับแผนการจัดหาเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้า และเสริมความมั่นคงในการจัดหาก๊าซธรรมชาติของประเทศในระยะยาว