มติ กนง.คงดบ.R/P 2.50% มองศก.USA ยังเสี่ยง

มติ กนง.คงดบ.R/P 2.50% มองศก.USA ยังเสี่ยง

มติ กนง.คงดบ.R/P 2.50% มองศก.USA ยังเสี่ยง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
กนง.มีมติ เอกฉันท์ คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.50% มองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเสี่ยงพร้อมรับมือตลาดเงินผันผวน ขณะธปท. เล็งปรับเป้าจีดีพีใหม่ 25 ต.ค.นี้ ขณที่ ครม.ศก.สั่งคลัง-ธปท. ติดตามปมเพดานหนี้ USA ใกล้ชิด

นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบาย กนง.ว่า ที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจโลกมีทิศทางค่อยๆ ปรับดีขึ้น และยังคงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ขณะที่ผลกระทบจากการปิดการดำเนินงานหน่วยงานราชการบางส่วนของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะมีผลกระทบแค่วงจำกัด แต่การเจรจาปรับเพดานหนี้สาธารณะนั้น ก็ถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ และจะกระทบต่อเสถียรภาพทางภาวะการเงินเศรษฐกิจโลก ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ได้เตรียมเครื่องมือในการรองรับความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว รวมไปถึงภาวะเศรษฐกิจไทย มีอัตราขยายตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ ตั้งแต่เริ่มทรงตัวและเห็นสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในบางส่วน จึงทำให้คณะกรรมการมองว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้า แม้นโยบายการคลังจะมีความล่าช้าออกไปบ้าง ซึ่งมองว่าการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในปัจจุบัน ยังมีความเหมาะสมในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป


ธปท.เล็งปรับเป้าจีดีพีใหม่ 25 ตุลาคม นี้

นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ได้มีการเตรียมการปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP รวมไปถึง การส่งออก และอัตราเงินเฟ้อ โดยจะมีการแถลงผลการดำเนินงาน ในวันที่ 25 ต.ค.นี้ โดยมีเหตุผลสำคัญในการปรับลดดังกล่าว เนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลต่ำกว่าที่คาดการณ์ และยังคงมีความล่าช้า นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงคือปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่จะต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะแม้ว่า สหรัฐฯ จะเลื่อนการตัดสินใจในการขยายเพดานหนี้ ออกไปสิ้นปี แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงต่อตลาดการเงินทั่วโลก เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า หากสหรัฐฯ ผิดนัดชำระหนี้ความเสียหายจะรุนแรงมากน้อยเพียงใด เนื่องจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินที่สำคัญ และมีการหมุนเวียนในตลาดโลกอยู่กว่า 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ฉะนั้นหากเกิดภาวะตึงตัว หรือมีปัญหาสภาพคล่องจะทำให้การลงทุน และกู้ยืมเพิ่มสูงขึ้น


"ไพบูลย์" มองหุ้นยังผันผวน จี้รัฐเผยเจ๊งจำนำข้าว

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ปัญหาวิกฤติการคลังสหรัฐฯ ขณะนี้ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทยให้มีความผันผวน เนื่องจากใกล้ช่วงเวลาที่มีการพิจารณาเรื่องเพดานหนี้สหรัฐฯ มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณทางการเงิน หรือ QE ก็จะมีกระแสข่าวเข้ามากระทบเป็นระยะ ขณะที่สถานการณ์การเมือง ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศที่ทำให้นักวิเคราะห์ต่างชาติลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยลง ทั้งนี้ ต้องติดตามว่า รัฐบาลจะมีมาตรการมากระตุ้นการบริโภคที่ชะลอตัวลงให้ฟื้นตัวได้หรือไม่ หากรัฐบาลสามารถทำได้ตามเป้าหมาย ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็จะร้อนแรงอย่างแน่นอน โดยหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลดี คือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกที่จะฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นนักลงทุนที่ลงทุนระยะยาวสามารถซื้อสะสมได้แต่นักลงทุนที่เก็งกำไรระยะสั้น ให้รอภาวะดัชนีอ่อนตัวลง


ครม.ศก.สั่งคลัง-ธปท.ติดตามปมเพดานหนี้USA

นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า ที่ประชุมประเมินผลกระทบจากปัญหาการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ว่า ในขณะนี้ส่งผลกระทบทางตรงต่อประเทศไทยน้อย แต่สำหรับผลกระทบทางอ้อมนั้น ยอมรับว่ามีต่อประเทศไทยบ้าง จึงได้สั่งการให้ทางกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อจะหามาตรการรองรับ หากได้รับผลกระทบมากขึ้น และเชื่อว่ามาตรการที่มีอยู่จะสามารถรองรับปัญหาที่เกิดขึ้นได้โดยยังไม่ต้องออกมาตรการเพิ่มเติม นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หามาตรการดูแลและเพิ่มปริมาณการค้าชายแดนให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนการส่งออกในภาพรวม ซึ่งในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการค้าชายแดนอยู่ที่ 600,000 ล้านบาท และตลอดทั้งปี คาดว่ามูลค่าการค้าชายแดน จะมีมูลค้าที่ 1 ล้านล้านบาท ตามเป้าหมาย



แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook