เปิดภารกิจเจน 3 "ไวไว" ฝ่าสมรภูมิบะหมี่สำเร็จรูปหมื่นล้าน

เปิดภารกิจเจน 3 "ไวไว" ฝ่าสมรภูมิบะหมี่สำเร็จรูปหมื่นล้าน

เปิดภารกิจเจน 3 "ไวไว" ฝ่าสมรภูมิบะหมี่สำเร็จรูปหมื่นล้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ด้วย มูลค่าตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท สมรภูมิการแข่งขันเป็นไปอย่างคึกคัก โดยเฉพาะพื้นที่ของเบอร์ 2 ที่เป็นการแย่งชิงกันระหว่าง "ยำยำ" จากญี่ปุ่น กับ "ไวไว" ธุรกิจ ของคนไทย องค์กรที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2515 จากกลุ่มเพื่อนนักธุรกิจที่ลงขันกันบุกเบิกตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทย เมื่อ 40 ปีที่แล้ว

วันนี้ไวไว องค์กรที่กำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 5 มีการรุกคืบเข้าไปหาผู้บริโภคมากขึ้น ทั้งการใช้โซเชียลมีเดีย การจัดกิจกรรมที่ปูพรมทั่วประเทศ ในยุคของ "เจเนอเรชั่นที่ 3" ที่เริ่มเข้ามาสานต่อธุรกิจของรุ่นก่อตั้ง

ใน บรรดาเจน 3 ที่มีอยู่ "ยศสรัล แต้มคงคา" หรือ "โอม" นักธุรกิจหนุ่ม วัย 30 ปี ถือเป็นคนแรกในบรรดาทายาทของกลุ่มผู้ถือหุ้นที่เริ่มเข้ามาเรียนรู้งานอย่าง จริงจัง หลังจากผ่านประสบการณ์การทำงานข้างนอกมาอย่างโชกโชน

"ยศ สรัล" เป็นทายาทรุ่นหลานของ "ชาญ แต้มคงคา" หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด กับเพื่อน ๆ เมื่อ 40 ปีก่อน โดยเริ่มเข้ามาเรียนรู้ระบบการทำงานต่าง ๆ ในไวไวตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว ตามคำชักชวนของบิดา เริ่มตั้งแต่งานอีเวนต์ ช่องทางจำหน่าย การทำตลาดในส่วนงานต่าง ๆ จนก้าวสู่ตำแหน่ง "ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด" ในปัจจุบัน

ย้อนกลับไป ก่อนจะเข้ามารุกธุรกิจของครอบครัว "ยศสรัล" เลือกที่เริ่มต้นชีวิตทำงานแบบเด็กจบใหม่ทั่วไป เพราะอยากหาประสบการณ์ทำงานจากโลกภายนอก

หลังเรียนจบปริญญาตรีเขา ก้าวสู่ชีวิตการทำงานที่หลากหลาย ตั้งแต่บริษัทจัดทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และการตลาด, เอเยนซี่ โฆษณา ตลอดจนบริษัทขายข้อมูลเอสเอ็มเอส ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็น "ศาสตร์" ของการดีลงานระหว่างบุคคล องค์กร ที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ทักษะการทำงานร่วมกับคนอื่น

กว่า 3 ปีเต็ม ที่ "ยศสรัล" สนุกเพลิดเพลินกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ก่อนจะตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ ที่มหาวิทยาลัย RMIT เมลเบิร์น ออสเตรเลีย

"เป้าหมายของเราต้องกลับมาช่วยที่บ้านอยู่ แล้ว แต่อยากมีประสบกาณ์ การทำงานข้างนอกก่อนเข้ามาทำธุรกิจครอบครัว แม้จะแค่ 3 ปี แต่ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบ การเป็นลูกน้อง ได้เข้าใจว่าลูกน้องคิดยังไง ได้มีเพื่อนร่วมงาน ซึ่งมันจะต่างกับการทำธุรกิจของตัวเอง ที่คนเขาก็จะมองว่าเราเป็นเจ้าของ ก็จะมีระยะห่าง"

ด้วยความเชื่อของเขาที่ว่า "การจะเป็นเจ้านายที่ดี ต้องผ่านการเป็นลูกน้องที่ดีมาก่อน"

วันนี้ นอกจากงานที่ไวไวแล้ว "ยศสรัล" ยังเข้ามาสานต่อในบริษัท เอ็ม.เอส.กรุ๊ป จำกัด ธุรกิจส่วนตัวของครอบครัว "แต้มคงคา"ที่คุณพ่อนั่งเป็นกรรมการผู้จัดการ

"กลุ่ม ผู้ถือหุ้นของไวไวแต่ละคน ก็จะมีธุรกิจส่วนตัวของตัวเองด้วย สำหรับเอ็ม.เอส.กรุ๊ป เป็นบริษัทจัดจำหน่ายสินค้า ที่มีแบรนด์ของตัวเอง อย่างหมากฝรั่งคิดคิด ซึ่งรู้จักกันดีในเทรดิชั่นนอลเทรด ซึ่งจะมีอายุครบ 30 ปีในปีหน้า"

ความตั้งใจของ "ยศสรัล" ก็คือนำประสบการณ์ที่ได้จากไวไว ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีลูกค้าทั่วประเทศ มีระบบการทำงานที่ชัดเจน นำไปต่อยอดกับบริษัทเอ็ม.เอส.กรุ๊ป ที่เขาตั้งใจปั้นให้เป็นบริษัทจัดจำหน่ายสินค้ายักษ์ใหญ่ในวันหนึ่งข้างหน้า

"อนาคตยังทำควบคู่กันไป ทั้งไวไวและเอ็ม.เอส.กรุ๊ป ซึ่งผมถนัดในการทำหลาย ๆอย่าง พร้อมกัน เป็นเรื่องของการบริหารเวลา โดยมีหลักยึดไว้อยู่เสมอ คือการทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่ต้องมานั่งกังวลกับพรุ่งนี้ หรือไม่ต้องมานั่งกดดันตัวเอง"

ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยน เขายอมรับว่า การทำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภควันนี้ เป็นงานหินไม่ใช่น้อย ทั้งคู่แข่งจำนวนมาก และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัว จากอดีตที่เป็นยุคของผู้ผลิต แต่วันนี้เป็นยุคของผู้บริโภค

"ตอนเข้ามาทำเอ็ม.เอส.กรุ๊ป เคยทำหนังโฆษณาหมากฝรั่งคิดคิด ออกอากาศในเคเบิลทีวี เจาะกลุ่มเด็ก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ร้านค้ายังไม่ตอบรับ เพราะแบรนด์ไม่เป็นที่รู้จัก การแข่งขันในตลาดก็สูงมาก ทำให้ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดตรงนั้น และจะนำมาปรับใช้ในอนาคต"

ปรัชญาการทำงานในวันนี้ สิ่งที่เขายึดไว้เสมอ คือคำสอนของคุณปู่กับคุณพ่อ ทั้งเรื่องของการรู้จักคุณค่าของเงิน การรู้จักให้ ที่มีคุณปู่เป็นแบบอย่าง การเรียนรู้เรื่องคน การบริหารคน จากผู้เป็นพ่อที่รับผิดชอบในด้านการตลาดของไวไว คอยสอนเขาให้ได้เรียนรู้จากการทำงานจริง เมื่อมีข้อผิดพลาด ก็พร้อมจะพูดคุยให้คำปรึกษา

วันนี้ เมื่อเขาต้องเข้าสู่สนามรบของการแข่งขันที่ดุเดือด การนำทุกประสบการณ์ชีวิตที่ได้เรียนรู้มาประยุกต์ใช้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ขณะเดียวกัน เมื่อต้องร่วมงานกับคนจำนวนมาก สิ่งที่เขาเน้น คือการลงลึกและเข้าถึงพนักงานระดับล่าง ตั้งแต่เซลส์ไปจนถึงพีซี เพื่อลดช่องว่างการทำงานระหว่างลูกน้องในทีมติดดินและพร้อมเรียนรู้อยู่เสมอ คือหลักคิด ที่นักธุรกิจหนุ่ม วัย 30 ปีคนนี้นำมาใช้ เพื่อทำทุก ๆ วันให้ดีที่สุด

ส่วน อนาคต ความฝันของเขา คือการสร้างธุรกิจครอบครัว ทั้งไวไวและเอ็ม.เอส.กรุ๊ป ให้ประสบความสำเร็จ ก่อนจะผันตัวเองไปปั้นธุรกิจที่ตัวเองใฝ่ฝัน คืองานที่เกี่ยวข้องกับสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง และเอ็นเตอร์เทนเมนต์มาร์เก็ตติ้ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook