ธุรกิจโรงแรมยิ้ม"รายได้-กำไร"อู้ฟู่ "ดิเอราวัณ-เซ็นทรัล-ไมเนอร์"เดินหน้าลงทุนเพิ่ม
ธุรกิจโรงแรมฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ-การเมืองฉลุย "ดิ เอราวัณ" เผยรายได้ดีทุกเซ็กเมนต์ พร้อมทุ่มงบฯอีก 2,600 ล้านบาท เดินหน้าขยายเน็ตเวิร์กโรงแรม 3-2 ดาว ชี้ลงทุนต่ำ-คืนทุนเร็ว เช่นเดียวกับกลุ่ม "เซ็นทารา" ยังเน้นรับจ้างบริหารในทุกเซ็กเมนต์ ด้าน "ไมเนอร์ฯ" เน้นบริหารโรงแรมหรู
นางสาวกันยะรัตน์ กฤษณเทวินทร์ รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจโรงแรมในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ดีมาก ทุกเซ็กเมนต์ได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยในส่วนของ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป นั้น พบว่าธุรกิจอยู่ในทิศทางเดียวกับภาพรวมที่เกิดขึ้น โดยมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมในไตรมาส 3 นี้ จำนวน 1,048 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญยังมีการเติบโตในทุกกลุ่มประเภทโรงแรม โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมระดับกลางและระดับประหยัด เพิ่มขึ้น 35% และ 33%
ขณะที่รายได้รวมในช่วง 9 เดือนแรก มีจำนวน 3,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากห้องพัก เพิ่มขึ้น 21% และจากอาหารและเครื่องดื่ม 2%
"โรงแรมระดับกลางเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตของรายได้สูงที่สุดในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ขณะที่โรงแรมชั้นประหยัดก็ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีการเติบโตทั้งในส่วนของอัตราการเข้าพักและค่าห้องพักเฉลี่ย ส่วนโรงแรมระดับ 5 ดาว ก็ยังเติบโตได้ดีเช่นกัน"
จากทิศทางดังกล่าวนี้ ทำให้บริษัทหันมาเน้นลงทุนในโรงแรมระดับกลางและชั้นประหยัดเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2557 นี้ บริษัทมีแผนลงทุนเพิ่มอีกราว 2,600 ล้านบาท สำหรับเปิดให้บริการโรงแรมใหม่อีก 13 แห่ง แบ่งเป็นโรงแรมฮอลิเดย์อินน์ พัทยา คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 3 ปีหน้า โรงแรมเมอร์เคียว พัทยา คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 4 ปีหน้า โรงแรมไอบิส กระบี่ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 4 ปีหน้าเช่นกัน
และโรงแรมใหม่ภายใต้แบรนด์ "ฮ็อป อินน์" ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทพัฒนาเอง วางโพซิชันนิ่งไว้ที่ระดับ 2 ดาว จำนวน 10 แห่ง รวม 790 ห้อง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 2 ปีหน้าจำนวน 5 แห่ง และเปิดให้บริการในไตรมาส 4 อีก 5 แห่ง
"การลงทุนในโรงแรมระดับกลางและชั้นประหยัด จะทำให้เราใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก อีกทั้งยังสามารถคืนทุนได้เร็วอีกด้วย"
แนวทางดังกล่าวสอดรับกับกลุ่มโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา ที่บริหารโดยกลุ่มเซ็นทรัล ยังคงเน้นการขยายธุรกิจในรูปแบบการรับจ้างบริหารทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการลงทุนในรูปแบบที่ร่วมลงทุนเป็นหลัก โดยจะยังคงขยายแบรนด์ในทุกเซ็กเมนต์
ส่วนแบรนด์ระดับ 5 ดาว ก็มีแผนเข้าไปบริหารโรงแรมในทวีปแอฟริกา คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2560 นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ "โคซี่" ซึ่งเป็นแบรนด์ราคาประหยัดลงไปอีก ก็เตรียมเปิดให้บริการแห่งแรกในปี 2558
ด้านนางจุฑาทิพ อดุลพันธุ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารโรงแรม ภายใต้แบรนด์อนันตรา ฯลฯ กล่าวว่า ส่วนตัวยังมั่นใจในธุรกิจโรงแรมว่าเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างมีศักยภาพ อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่าธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยยังไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด แม้ว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาทางด้านการเมืองอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกัน บริษัทยังลดความเสี่ยงด้วยการกระจายโรงแรมที่รับบริหารไปยังต่างจังหวัดและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
สำหรับทิศทางการลงทุนในธุรกิจโรงแรมของกลุ่มไมเนอร์ฯนั้น นายชัยพัฒน์กล่าวว่า บริษัทจะยังคงโฟกัสกลุ่มที่เป็นโรงแรมตั้งแต่ระดับ 4 ดาวขึ้นไป เนื่องจากบริษัทมีความเชี่ยวชาญในตลาดนี้สูง ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งงบฯสำหรับลงทุนในธุรกิจโรงแรมไว้ราว 12,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 5 ปีนี้ (2557-2561)
"กลุ่มไมเนอร์ฯเราถนัดบริหารโรงแรม 4 ดาวขึ้นไป แต่สำหรับบัดเจตโฮเต็ลนั้น ถ้ามีคนสนใจอยากให้เราบริหาร เราก็พร้อม แต่จะต้องเป็นรายที่มีโรงแรมอยู่ในมือแล้วราว 10-20 แห่ง เพราะนโยบายหลัก เราจะเน้นการรับบริหารมากกว่าที่จะลงทุนเอง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีโรงแรมที่ลงทุนเองในสัดส่วน 43% ที่เหลืออีก 57% เป็นส่วนที่รับจ้างบริหาร" นายชัยพัฒน์กล่าว