เอสซีจีเตรียมปรับแผนธุรกิจรับเศรษฐกิจทรุด

เอสซีจีเตรียมปรับแผนธุรกิจรับเศรษฐกิจทรุด

เอสซีจีเตรียมปรับแผนธุรกิจรับเศรษฐกิจทรุด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เอสซีจีเตรียมเสนอบอร์ดปรับแผนธุรกิจรับเศรษฐกิจทรุด ชี้ 2 เดือนแรกวัสดุก่อสร้างลดลงร้อยละ 5-8 ขณะยอดขายซีเมนต์ต่ำกว่าเป้าเหลือร้อยละ 4-5 แต่มั่นใจยอดขายทั้งปีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยได้แรงหนุนค้าชายแดนส่งออกอาเซียน

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่า การประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2557 วันที่ 26 มีนาคมนี้จะเสนอการปรับแผนธุรกิจปี 2557 เพื่อให้คณะกรรมการอนุมัติ โดยแผนธุรกิจปีนี้ยังไม่ได้รับการอนุมัติ เนื่องจากฝ่ายบริหารจัดทำแผนช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์การเมืองไม่ปกติจนถึงปัจจุบันกระทบเศรษฐกิจให้ชะลอลง

ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารปรับแผนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจหลายกรณี เช่น การเพิ่มปริมาณการส่งออกซีเมนต์ปีนี้อีก 1 ล้านตัน เป็นรวม 4 ล้านตัน จากเดิมคาดว่า จะส่งออก 3 ล้านตัน เพราะเดิมคาดว่าจะเพิ่มยอดขายในประเทศแต่สถานการณ์ปัจจุบันทำให้ต้องนำสัดส่วนในประเทศไปเพิ่มส่งออก อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวไม่ได้รวมถึงผลกระทบจากกรณีที่ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทตกไป เพราะบริษัทฯ ประเมินว่ากรณีดังกล่าวยังไม่ส่งผลต่อธุรกิจในช่วง 1-2 ปีนี้ และผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ 3-4 รายมีงานจนถึงสิ้นปีนี้ ขณะที่โครงการเก่าที่เริ่มต้นไปแล้วก็ยังเดินหน้า ทำให้ยังมีความต้องการใช้ซีเมนต์ แต่ถ้าสถานการณ์การเมืองยังไม่ดีขึ้นไม่มีโครงการใหม่เข้ามาจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในปีต่อไป

นายกานต์ กล่าวว่า ในช่วง 2 เดือนแรกปี 2557 (ม.ค.-ก.พ.) ยอดขายวัสดุก่อสร้างในประเทศแต่ละประเภทลดลงร้อยละ 5-8 จากคาดการณ์เติบโตประมาณร้อยละ 4-5 ซึ่งเป็นไปตามภาวะการลงทุนที่ได้รับผลจากปัญหาการเมือง และไม่มีรัฐบาลชุดใหม่บริหารประเทศ ขณะที่กลุ่มซีเมนต์เติบโตร้อยละ 4-5 ต่ำกว่าที่ตั้งเป้าว่า จะเติบโตร้อยละ 9-10 เพราะในภาวะปกติช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นเดือนเมษายนก่อนเข้าฤดูฝนจะเป็นช่วงที่ขายซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างได้ดี แต่ปรากฎเป็นช่วงที่ไทยมีปัญหาการเมือง

ส่วนซีเมนต์ที่ไม่หดตัวเหมือนกลุ่มวัสดุก่อสร้างนั้น มาจากการขายไปจังหวัดชายแดนที่เศรษฐกิจยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แต่ห่วงว่าหากสถานการณ์การเมืองไม่ดีขึ้นไม่มีโครงการรัฐใหม่ ๆ เข้ามาจะทำให้ยอดขายโดยเฉพาะกลุ่มวัสดุก่อสร้างแย่ลงในไตรมาส 2-4 ขณะที่การลงทุนเอกชนก็ติดปัญหาการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่ขณะนี้ยังไม่มีคณะกรรมการใหม่ ซึ่งเอสซีจีมี 1 โครงการร่วมกับนักลงทุนญี่ปุ่นติดอยู่ มูลค่า 3,000 ล้านบาท และยังมีอีกหลายโครงการที่เป็นการร่วมลงทุนกับพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่นเช่นกันเตรียมจะยื่นขอรับส่งเสริมมูลค่าลงทุนรวมแล้วกว่าหมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเมืองและไม่แน่ใจจะรอลงทุนได้อีกแค่ไหน

นายกานต์ กล่าวว่า แม้จะปรับแผนธุรกิจแต่ยังคาดว่ายอดขายโดยรวมปีนี้จะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับยอดขายรวมปีที่แล้วที่ 434,000 ล้านบาท โดยมีแรงสนับสนุนจากการค้าชายแดนและรายได้ที่มาจากต่างประเทศทั้งโรงงานในต่างประเทศและการส่งออกปัจจุบันมีสัดส่วนสร้างรายได้อยู่ที่ร้อยละ 35 ยังจะขยายตัวได้ดีตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะอาเซียนที่สร้างรายได้ร้อยละ 20 ทั้งนี้ จากรายได้ที่มาจากต่างประเทศทั้งหมดร้อยละ 35 แยกเป็นรายได้จากการส่งออกร้อยละ 11 และรายได้จากการตั้งโรงงานในประเทศเพื่อนบ้านร้อยละ 9 ส่วนร้อยละ 15 เป็นการส่งออกไปประเทศนอกอาเซียน

ทั้งนี้ หากแยกสัดส่วนการส่งออกพบว่าการส่งออกไปอาเซียนคิดเป็นร้อยละ 42 ของการส่งออกทั้งหมดและสัดส่วนนี้อาจจะไม่เปลี่ยนแปลงมากหรืออาจจะลดลงในอนาคต เนื่องจากตลาดที่เอสซีจีส่งออกไปแล้วขยายตัวได้ในระดับที่มีศักยภาพบริษัทฯ จะเลือกไปตั้งโรงงานในประเทศนั้น ซึ่งขณะนี้โรงงาน 3 แห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โรงผลิตซีเมนต์ในอินโดนีเซียและกัมพูชา (โรงที่ 2) คาดว่า จะเสร็จปี 2558 และเมียนมาร์จะเสร็จปี 2559 เมื่อทั้งหมดเปิดดำเนินการจะทำให้การส่งออกไปประเทศดังกล่าวลดลง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook