ธปท.ขีดเส้นสิ้นปี 58 ทุกแบงก์พร้อมใช้ชิฟการ์ด ล้อมคอกแก๊งค์ฉกข้อมูลเอทีเอ็ม

ธปท.ขีดเส้นสิ้นปี 58 ทุกแบงก์พร้อมใช้ชิฟการ์ด ล้อมคอกแก๊งค์ฉกข้อมูลเอทีเอ็ม

ธปท.ขีดเส้นสิ้นปี 58 ทุกแบงก์พร้อมใช้ชิฟการ์ด ล้อมคอกแก๊งค์ฉกข้อมูลเอทีเอ็ม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ธปท.ตื่น หลังเจอแก๊งค์รูดทรัพย์ ผ่านการขโมยคัดลอกข้อมูลทางเอทีเอ็ม สั่งแบงก์พาณิชย์ติดระบบชิฟการ์ดทั่วทั้งประเทศพร้อมเพรียงก่อนสิ้นปี 58

นางรุ่ง มัลลิกะมาส โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. กล่าวว่า หลังจากกลุ่มมิจฉาชีพบางกลุ่มได้มีการทำการคัดลอกข้อมูลบนบัตรเอทีเอ็ม (Skimming) ของหลายธนาคารที่ใช้กับเครื่องเอทีเอ็มบางจุด จนนำมาสู่การเสียทรัพย์สินของผู้ใช้บริการนั้น ซึ่ง ธปท.ก็ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวจากธนาคารพาณิชย์แล้ว ซึ่งถือเป็นการโจรกรรม และคัดลอกข้อมูลเพื่อขโมยข้อมูลในบัตร และที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ก็ออกมารับผิดชอบทุกด้าน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม ธปท.และธนาคารพาณิชย์ก็พยายามหารือร่วมกัน เพื่อลดปัญหาดังกล่าว โดยรณรงค์ให้แบงก์พาณิชย์หันมาใช้เทคโนโลยีที่เป็นระบบชิฟการ์ดมากขึ้น ก็จะทำให้คัดลอกข้อมูลยากขึ้น ทั้งนี้เป็นเรื่องของฝ่ายนโยบายของคณะกรรมการระบบการชำระเงิน (กรช.) ที่ได้กำหนดไว้แล้วว่า ภายในสิ้นปี 58 เอทีเอ็มทุกตู้จะต้องรองรับระบบชิฟการ์ดได้ทั้งหมด รวมไปถึงร้านค้าต่าง ๆ ก็ต้องรองรับระบบดังกล่าวเช่นเดียวกัน

ส่วนบัตรเอทีเอ็มที่ออกใหม่ ในปี 59 เป็นต้นไป ก็จะเป็นระบบชิฟการ์ดทั้งหมดด้วย ส่วนใครที่ยังมีบัตรเดิม ที่เป็นแถบแม่เหล็ก และยังไม่หมดอายุ ก็คงทยอยให้หมดอายุไป

ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ก็มีระบบสอดส่องผ่านวิธีการต่าง ๆ ที่ใช้การแชร์ข้อมูลในกลุ่มของธนาคารพาณิชย์เอง อันนี้ก็เป็นวิธีการที่ตรวจจับมากขึ้น เพื่อสนองตอบสถานการณ์ได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และสุดท้ายคือ แบงก์พาณิชย์จะรับผิดชอบ และจะคอยให้ความรู้กับลูกค้ามากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในกรณีครั้งนี้ ศูนย์คุ้มครองผู้บริโภค หรือ ศคง. ก็ไม่ได้พบข้อร้องเรียนเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งก็สะท้อนได้ว่า ธนาคารพาณิชย์สามารถดูแลลูกค้าของเขาดีอยู่แล้วในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี ศคง.ก็จะย้ำเตือนในแง่ประชาชน ติดตาม สังเกต เวลากดเงิน โดยเฉพาะที่สอดบัตร ซึ่งหากมีกรณีผิดปกติก็ให้ละเว้นการใช้ตู้ดังกล่าว และแจ้งผู้ใช้บริการ ซึ่งจะสามารถลดปัญหาดังกล่าวได้ในระดับหนึ่ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook