ขึ้นภาษีญี่ปุ่น กระทบน้อยกว่าคาด
การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมาอาจกระทบต่อเศรษฐกิจแดนปลาดิบน้อยกว่าที่หลายฝ่ายกังวลกัน โดยจากผลสำรวจความคิดเห็นภาคธุรกิจในญี่ปุ่นชี้ว่า ราว 2 ใน 3 มียอดขายใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ไฟแนนเชียล ไทมส์ อ้างผลสำรวจความคิดเห็นของรอยเตอร์ส ซึ่งขอให้บริษัท 400 แห่งจากหลายเซ็กเตอร์ประเมินยอดขายบริษัทตัวเองในเดือนเมษายนโดยพิจารณาจาก ยอดขายที่แท้จริงระหว่างช่วง 1-14 เมษายนที่ผ่านมา ในบรรดา 240 บริษัทที่ร่วมแสดงความคิดเห็น 42% ซึ่งมาจากภาคการผลิตและอีก 36 % จากนอกเซ็กเตอร์การผลิตระบุว่า ยอดขายทั้งเดือนของเดือนนี้น่าจะใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านบริษัทในภาคบริการ มี 29% ที่มองว่ายอดขายในเดือนเมษายนจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เทียบ 24% จากเซ็กเตอร์การผลิต ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกมองในแง่ลบมากที่สุด โดย 3 ใน 4 คาดว่ายอดขายมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ซื้อสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันรวมถึงสินค้าราคาสูงตุนไว้ตั้งแต่ก่อนปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 5% เป็น 8% ทำให้บริษัทในกลุ่มค้าขายปลีกมียอดขายพุ่งสูงในช่วงเดือนมีนาคมและหดลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่ 1 เมษายน
ผลสำรวจดังกล่าวช่วยสร้างความเชื่อมั่นในระดับหนึ่งว่า การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มครั้งนี้จะไม่สร้างความเสียหายร้ายแรงให้กับกำลังซื้อของผู้บริโภคตลอดจนเศรษฐกิจญี่ปุ่นเช่นเดียวกับการขึ้นภาษีจาก 3% เป็น 5% ในปี 2540 จะและไม่กระทบกระเทือนความพยายามของนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะในการฉุดญี่ปุ่นจากหล่มเงินฝืดที่ดำเนินมานานกว่าทศวรรษ
แม้ว่าจะเพิ่งขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อัตราภาษีของญี่ปุ่นก็ยังต่ำกกว่าหลายประเมศในกลุ่มชาติพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรป หลายฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการปรับภาษีครั้งนี้เพราะอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เพิ่งเริ่มกระเตื้องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ "อาเบกโนมิกส์" แต่ตัวเลขหนี้สาธารณะที่สูงกว่าจีดีพีถึง 2 เท่าทำให้รัฐบาลต้องเร่งหารายได้เพิ่ม
นอกจากนี้ยังมีกำหนดจะปรับภาษีอีกครั้งในเดือนตุลาคม 2558 จาก 8% เป็น 10% แต่นายอาเบะให้คำมั่นว่าจะพิจารณาสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจเดินหน้าตามแผน