เปิดลิ้นชักความคิด "ป๋าเต็ด" "ประสบการณ์...ดาวน์โหลดไม่ได้"
![เปิดลิ้นชักความคิด "ป๋าเต็ด" "ประสบการณ์...ดาวน์โหลดไม่ได้"](http://s.isanook.com/mn/0/ud/36/183285/3344.jpg?ip/crop/w728h431/q80/jpg)
"มัน ใหญ่ มาก" "(Big Mountain Music Festival)" เทศกาลดนตรีโดยคนไทย ที่ริเริ่มจัดขึ้นตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน ต้องถือเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในกลุ่ม "คนรุ่นใหม่" ที่มีบริษัท "เกเร" ในเครือ "จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ
ย้อนกลับไป เป้าหมายในการก่อตั้งบริษัท เกเร จำกัด ของแกรมมี่นั้นก็เพื่อต้องการสร้างตลาด "มิวสิกเฟสติวัล" ทำให้ผลงานช่วงแรกจึงเป็นการผลิตมิวสิกเฟสติวัลเป็นหลัก แต่จากความสำเร็จของ "มัน ใหญ่ มาก" ทำให้บริษัทกลับมาประเมินศักยภาพของตัวเอง ก่อนจะเริ่มขยายสู่การจัดคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีต่าง ๆ เพิ่มเติม อาทิ มันไก่มาก บอดี้สแลม พาราด็อกซ์ ฯลฯ
จนเมื่อปีที่แล้วก็ได้ทดลองจัดคอนเสิร์ตต่างประเทศเป็นครั้งแรกกับโปรเจ็กต์ "มินิคอนเสิร์ตเปิดโกดัง"
เมื่อทุกอย่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้น เป้าหมายของเกเรจึงไม่ได้หยุดแค่การสร้างมิวสิกเฟสติวัลอีกต่อไป แต่เดินหน้าสู่ธุรกิจอีเวนต์และโชว์บิซเต็มรูปแบบ ภายใต้การนำทัพของ"เจ้าพ่อเด็กแนว" อย่าง "ยุทธนา บุญอ้อม" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกเร จำกัด
ล่าสุด "ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษถึงทิศทางธุรกิจจากนี้ เขาเล่าว่า โชว์บิซ อีเวนต์ เป็นธุรกิจบันเทิงที่มีแนวโน้มเติบโตสูงและต่อเนื่อง เพราะคอนเสิร์ตในประเทศ (โลคอลคอนเสิร์ต) ที่มีขนาดใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่แค่กรุงเทพฯเท่านั้น มีเพียงมิวสิกเฟสติวัลที่กระจายออกไปจัดในต่างจังหวัด ทำให้ธุรกิจนี้มีโอกาสโต ขณะเดียวกันก็เป็นธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคตามการพัฒนาของเทคโนโลยี
นั่นเพราะ "โชว์บิซ คือ ประสบการณ์" ซึ่งผู้บริโภคไม่สามารถดาวน์โหลดประสบการณ์การชมโชว์บิซได้ สิ่งที่จะดาวน์โหลดได้ก็เพียงเทปบันทึกการแสดง ซึ่งอรรถรสในการชมแตกต่างกัน
ในทางกลับกัน ด้วยเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียที่ทำให้ผู้บริโภครู้จักศิลปินทั่วโลกได้เร็วขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจ เพราะทำให้เครื่องมือการสื่อสาร รวมถึงค่าโปรโมตคอนเสิร์ตถูกลง และทำให้เกิดการบาลานซ์ทางด้านงบประมาณในธุรกิจนี้มากขึ้น
แม้ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้แนวโน้มธุรกิจโชว์บิซดูสดใส แต่ "ยุทธนา" ชี้ว่า ในความสดใสนี้ก็ไม่ได้หมายถึงผลกำไรที่ได้มาง่าย ๆ เช่นกัน
ในส่วนของ "เกเร" แผนธุรกิจครึ่งปีหลังเตรียมเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ที่จะมาในรูปแบบ "ทัวร์คอนเสิร์ต" เบื้องต้นคาดว่าจะจัดให้ครบ 40 จังหวัด เริ่มประมาณเดือนสิงหาคมหรือกันยายนนี้ ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ทั้งศิลปินและคอนเซ็ปต์งานยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้
"ความตั้งใจในการจัดทัวร์คอนเสิร์ต คือ เปลี่ยนความเชื่อที่ว่า คอนเสิร์ตดี ๆ ต้องดูที่กรุงเทพฯเท่านั้น ครั้งนี้ต้องการสร้างมาตรฐานเดียวกันว่า การจัดคอนเสิร์ตที่ดีต้องดีเหมือนกันทั่วประเทศ"
ดังนั้นเอง รูปแบบทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้จึงเรียกว่า "จัดใหญ่" เวที แสง สี เสียง ส่งตรงมาจากต่างประเทศ โดยขนาดของเวที จำนวนผู้ชม ตลอดจนราคาบัตรเข้าชมจะถูกวางในมาตรฐานเดียว
นอกจากนี้ ยังเตรียมจัดคอนเสิร์ตต่างประเทศแบบเต็มตัว ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นในเดือนตุลาคมนี้ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อศิลปินได้เพราะอยู่ระหว่างเซ็นสัญญา
"ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ปีต่อไป ๆ เราจะเริ่มจัดคอนเสิร์ต-อีเวนต์จากต่างประเทศที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ อาจจะเป็นมิวสิกเฟสติวัลระดับโลกก็ได้"
แผนงานดังกล่าวทำให้ปีนี้ถือเป็นการขยายตัวครั้งใหญ่ของเกเร โดยจะมีโชว์บิซทั้งคอนเสิร์ตในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ G16 ต่อด้วยคอนเสิร์ตต่างประเทศในเดือนตุลาคม โปรเจ็กต์โกดัง และมหกรรมดนตรี มัน ใหญ่ มาก โดยปีนี้จัดขึ้นวันที่ 6-7 ธันวาคม 2557 ในธีม "งานเดียวรักษาได้ทุกโรค"
แน่นอนว่าปัจจัยความสำเร็จของงานโชว์บิซ นอกจากโปรดักชั่นดีแล้ว แผนการตลาดก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะการขายบัตรคอนเสิร์ต ที่แผนการขายบัตรต้องถูกวางไว้ตั้งแต่เริ่มต้น
บิ๊กบอสเกเรยกตัวอย่าง "G16" คอนเสิร์ตใหญ่ของจีนี่ เรคคอร์ดส ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 10 พฤษภาคมนี้ ซึ่งสามารถขายหมดใน 2 ชั่วโมง มาจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ศิลปิน "จีนี่ เรคคอร์ดส" ซึ่งมีฐานแฟนเพลงที่ใหญ่อยู่แล้ว สะท้อนจากแฟนเพจบนเฟซบุ๊กของศิลปินแต่ละวง ประกอบกับศิลปินของค่ายจีนี่ฯส่วนใหญ่เป็นระดับแนวหน้าเกือบทั้งหมด ดังนั้นเมื่อมีการรวมศิลปินเข้าด้วยกันจึงเกิดเป็นพลัง หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ ปล่อยแผนการตลาดให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์กลุ่มเป้าหมายในกลุ่มวัยรุ่น ตามด้วยวางแผนโปรโมตรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม
"รูปแบบเดิม ๆ คือ พอประกาศว่าจะจัดคอนเสิร์ตก็จะขายบัตรทันที ซึ่งเราไม่ได้ทำแบบนั้น แต่เริ่มโปรโมตคอนเสิร์ต 1 เดือนก่อนจะเริ่มขายบัตร รวมถึงตั้งราคาบัตรให้ยั่วใจกลุ่มเป้าหมาย หวังกระตุ้นให้เกิดการซื้อในเวลาอันรวดเร็ว"
นอกจากนี้ ยังรวมถึงกลยุทธ์การตั้ง "ราคา" ที่กระชากใจด้วยราคาบัตร 1,600 บาท และลด 50% จากราคาปกติ หรือ 800 บาทเมื่อซื้อบัตรวันแรก
"บริษัทปล่อยเพลงพิเศษออกมาก่อน 1 วันก่อนขายบัตร สร้างความผูกพันระหว่างศิลปินกับผู้ชมก่อน เรียกว่าพอเห็นปุ๊บก็ต้องรีบไปซื้อบัตร"
เขาย้ำว่า แผนการตลาดครั้งนี้ ถ้าขาดปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นถือว่ามากกว่าที่คาดการณ์ไว้
ส่วนจะนำ "โมเดลการตลาด" ครั้งนี้ไปใช้สำหรับการขายบัตรในอนาคตหรือไม่นั้น เขาแจงว่าขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายด้วย เพราะสำหรับ G16 มีกลุ่มเป้าหมายอยู่ในโซเชียลมีเดีย ทำให้วิธีนี้ได้ผล บวกกับราคาบัตรที่จูงใจ เพราะกลุ่มนี้มีกำลังซื้อจำกัด แต่ถ้าเป็นอีกกลุ่มเป้าหมายหนึ่งก็อาจทำแบบนี้ไม่ได้
วันนี้เขาพยายามทดลองโมเดลใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา พยายามทำสิ่งที่หลากหลาย และฉีกรูปแบบไปจากคอนเสิร์ตเดิม ๆ
"วันนี้มีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ เพราะบางโปรเจ็กต์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้คิดล่วงหน้านาน ดังนั้น อนาคตยังตอบไม่ได้ว่ายังจะมีโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ อะไรเกิดขึ้นอีกบ้างแต่ยังอยากทำสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ"
เขาเล่าว่า การวางแผนคอนเสิร์ตหรือโปรเจ็กต์ต่าง ๆ ของบริษัทนั้นจะวางปีต่อปี
หลักการทำงานของเกเร คือ เมื่อคิดงานอะไรได้ก็จะเก็บใส่ลิ้นชักความคิดไว้ก่อน แล้วค่อย ๆ หาช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะหยิบมันขึ้นมาใช้ เพราะบางไอเดียใหม่เกินไปกับช่วงเวลานั้น ต้องรอพฤติกรรมผู้บริโภคให้เปลี่ยนไปถึงจุดจุดนั้นก่อน
"สิ่งที่ต้องทำคือ เก็บงานไว้ก่อน และรอจนกว่าผู้ชมจะเข้าใจ"
เขาทิ้งท้ายว่า ในเชิงธุรกิจ อยากให้เกเรเป็นบริษัทบันเทิงที่ประสบความสำเร็จ สร้างงานครีเอทีฟที่น่าสนใจได้ ส่วนในมุมมองผู้ชม อยากให้จดจำภาพของเกเรเป็นบริษัทที่สามารถ "สร้างแรงบันดาลใจ"ให้ทุกคนได้ เชื่อว่าเป็นเป้าหมายที่ไม่ไกลเกินเอื้อม
คลิกที่นี่เพื่อรับชมภาพขนาดใหญ่
อัลบั้มภาพ 50 ภาพ