สิงคโปร์ VS ฮ่องกง ที่ไหนดึงดูดนักลงทุนมากกว่ากัน?

สิงคโปร์ VS ฮ่องกง ที่ไหนดึงดูดนักลงทุนมากกว่ากัน?

มาเริ่มกันที่ย่านธุรกิจในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย  และเป็นปีที่ 6  แล้ว ที่สิงคโปร์ยังครองอันดับหนึ่งสถานที่ที่น่าทำธุรกิจที่สุดในโลก จากการสำรวจของ the Economist Intelligence Unit   ซึ่งก็ได้สำรวจในหลายเรื่องด้วยกัน และพบว่า นโยบายธุรกิจของสิงคโปร์ เอื้อให้ต่างชาติอยากเข้ามาลงทุนที่นี่  โดยสิงคโปร์ยังมีการเมืองที่มั่นคง และเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศในภูมิภาคเดียวกัน เช่น ไทย เป็นตัวอย่าง  

สิงคโปร์ยังมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดี รวมถึงนโยบายแรงงานที่ทำให้มีคนต่างชาติเข้ามาทำงานในสิงคโปร์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิงคโปร์ก็มีปัญหาบางอย่างเหมือนกัน  เพราะหน่วยงานเดียวกันที่จัดอันดับให้สิงคโปร์เป็นที่ที่น่าทำธุรกิจมากสุดในโลก   ก็จัดอันดับให้สิงคโปร์เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงสุดในโลกด้วยเช่นกัน สืบเนื่องจากค่าเงินสิงคโปร์ที่แข็งค่า  ค่าน้ำค่าไฟก็แพง การเป็นเจ้าของรถก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง   

นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะอีกด้วย สื่อมวลชนที่นี่ถูกจำกัดเสรีภาพ ซึ่งก็ทำให้นักวิเคราะห์มองว่า เป็นปัจจัยบั่นทอนการเข้ามาทำธุรกิจที่นั่น

ทั้งนี้การที่รัฐบาลสิงคโปร์เปิดทางให้ต่างชาติเข้ามาทำงานที่นี่ ก็ทำให้คนสิงคโปร์ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เพราะเหมือนเป็นการกีดกันโอกาสในหน้าที่การงานของคนที่นี่ 

อย่างไรก็ตามถึงแม้สิงคโปร์จะยังรั้งอันดับหนึ่งที่ที่น่าทำธุรกิจที่สุดในโลก  แต่ฮ่องกงก็มาแรงไม่แพ้กัน เป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาคเหมือนกัน  ฮ่องกง มีประวัติศาสตร์มายาวนานในการเปิดโอกาสให้เจ้าของธุรกิจและนักลงทุน  ถ้าพิจารณาในเรื่องคุณภาพของแรงงานที่เข้ามา  นโยบายของรัฐ และระบบโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ฮ่องกงกับสิงคโปร์ได้คะแนนเท่ากันในเรื่องนี้

แต่ทำไมสิงคโปร์ถึงนำหน้าฮ่องกงในเรื่องการเข้าไปทำธุรกิจ  ก็น่าจะเป็นเรื่องโอกาสของการทำตลาดในอนาคตนั่นเอง  ที่ฮ่องกงยังขาด เพราะฮ่องกงไม่สามารถกำหนดนโยบายการเงินได้เอง  แต่กลับเดินตามนโยบายการเงินของอเมริกาโดยผูกเงินดอลลาร์ฮ่องกงเข้ากับดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนและทางการฮ่องกงต้องการให้เงินของตนมีเสถียรภาพ   แต่คาดว่า ดอกเบี้ยของสหรัฐจะพุ่งสูงขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งก็หมายถึง ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ของฮ่องกงก็จะพุ่งสูงตามสหรัฐด้วย ส่งผลให้อสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงแพงขึ้น และจะกระทบกับการจับจ่ายของคนที่นี่  จึงไม่เอื้อสำหรับต่างชาติที่จะเข้ามาทำธุรกิจที่นี่