"คุณดื่ม ฉันขับ" ธุรกิจใหม่ "บริการโชเฟอร์"เอาใจคอดื่ม
รู้หรือไม่ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคนเสียชีวิตบนท้องถนนมากเป็นอันดับ 3 ของโลก แล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่า แม้จะมีการรณรงค์มากแค่ไหน แต่อุบัติเหตุก็ยังไม่ลดลงเสียที
นี่อาจเป็นคำถามที่หลายคนเคยคิด หรือถามตัวเองมาบ้าง แต่กับนักธุรกิจรุ่นใหม่ 2 คนนี้ ไม่เพียงเห็นปัญหา แต่ยังหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นโอกาสในการช่วยเหลือสังคม ไปพร้อมๆ กับการทำธุรกิจของทั้งคู่ ในแบบของเธอทั้งคู่กับ "ยูดริงก์ ไอไดรฟ์" (U drink I drive)
สิ-สิรโสมย์ บริสุทธิ์สุวรรณ์ และมุ้งมิ้ง-ณิชมน วิริยะลัมภะ วัย 25 คือเจ้าของธุรกิจ ยูดริงก์ ไอไดรฟ์ เล่าถึงธุรกิจที่เริ่มต้นจากวิชาเรียนการลงทุนและการเงินในระดับปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ การบริหารธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า เกิดจากความคิดที่อยากลดอุบัติเหตุบนท้องถนน จึงเป็นที่มาของการทำ "แผนธุรกิจบริการคนขับรถ" ออกไปรับนักท่องเที่ยวยามราตรีที่อาจจะดื่มหรือเที่ยวหนัก เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนน
ณิชมนเผยว่า ตั้งแต่เด็กเราจะได้ยินข่าวอุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นมาก จนมีผู้เสียชีวิตมากเป็นอันดับ 3 ของโลก ก็มาคิดได้ว่าการเมาแล้วขับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งปัญหาของคนไทย คือ ชอบดื่มและขับรถไปด้วย อีกทั้งตัวนักดื่มเองก็ไม่กล้าจอดรถไว้ที่้ร้านเพราะกลัวรถหาย จึงเป็นที่มาให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
"เราคิดว่าธุรกิจให้บริการคนขับรถกลับบ้านเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ตรงนี้ เพราะช่วยให้คนไม่ต้องกังวลว่ารถจะหาย โดนทุบ หรือเกิดอุบัติเหตุ บวกกับเป็นธุรกิจใหม่ที่แม้จะได้รับความนิยมในต่างประเทศ แต่ในไทยยังไม่เป็นที่รู้จักมาก่อน จึงคิดว่าธุรกิจนี้แปลกดี เราจึงได้ทำแผนธุรกิจ ก่อนหาพาร์ตเนอร์ คือทางลิมูซีน เอ็กซ์เพรส ที่ให้บริการเรื่องการขับรถบริการตามโรงแรมต่างๆ มานาน มาช่วยสรรหาและฝึกคนขับรถให้เรา จนออกมาเป็นธุรกิจนี้"
ด้วยธุรกิจนี้ เป็นธุรกิจที่ให้บริการ "โชเฟอร์ขับรถ" ดังนั้น คนใช้บริการต้องมี "รถ" เป็นของตัวเอง หากวันใดไม่อยากขับรถกลับบ้านเองก็สามารถเรียกใช้บริการ "พนักงานขับรถ" ได้
แต่กว่าจะสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะทั้งคู่ต้องเจอกับอุปสรรคต่างๆ มามาก รวมทั้งเรื่องทัศนคติของคนไทย
สิรโสมย์เผยว่า คนไทยมักจะคิดว่าใครจะยอมให้คนอื่นมาขับรถเรา มาดูแลทรัพย์สินเรา หากของหายจะทำอย่างไร รถชนจะทำอย่างไร นอกจากนี้ ผู้หญิงหลายคนก็กังวลเรื่องคนขับผู้ชาย กว่าจะออกมาเป็นรูปแบบนี้ทำให้ต้องคิดกันอย่างหนัก
"ก่อนจะทำธุรกิจ เราศึกษาธุรกิจประเภทนี้ในต่างประเทศ พบว่าเขาทำง่ายมาก คือเป็นระบบฟรีแลนซ์ อยากทำก็ไปแจกโบรชัวร์หน้าร้านอาหาร หรือผับ บาร์ แล้วลูกค้าก็เรียกใช้เลย อย่างประเทศเกาหลีใต้ แต่กับเราทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะประเทศเราไม่ได้มีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำขนาดนั้น ทำให้เราทำทุกอย่างให้ปลอดภัยที่สุด เริ่มตั้งแต่คัดเลือกคนขับรถ ดูประวัติย้อนหลังไป 5 ปี มีคนขับรถผู้หญิง คนขับรถทุกคนต้องขับรถได้ทุกประเภท ไม่เว้นแม้แต่ซุปเปอร์คาร์ รวมทั้งนำเทคโนโลยีจีพีเอส และกล้อง ติดตัวพนักงานขับรถที่จะลิงก์เข้ามาที่สำนักงาน ทำให้ติดตามความเคลื่อนไหวของพนักงานได้ตลอดเวลา เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในเรื่องความปลอดภัยที่ทำได้จริง"
สำหรับการบริการ เปิดให้บริการตั้งแต่ เวลา 22.00-04.00 น. โดยคิดราคาค่าบริการเริ่มต้น 500 บาท จากระยะทาง 5 กิโลเมตร จนถึง 15 กิโลเมตร ด้วยราคา 1,500 บาท ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยสามารถโทรศัพท์เข้ามาที่ 0-9108-09108 หรือจะไลน์เข้ามา UDRINKIDRIVE ก็ได้ ซึ่งทางยูดริงก์ ไอไดรฟ์ก็จะตรวจสอบชื่อ ประเภทรถยนต์ สถานที่ พร้อมคำนวนระยะทางก่อนจะส่งเอสเอ็มเอสคอนเฟิร์มชื่อพนักงานขับรถไปให้ลูกค้า พร้อมสถานที่ และค่าบริการ
เมื่อพนักงานขับรถไปถึงสถานที่นัดหมายแล้ว จะยืนยันตัวเองด้วยการแสดงชื่อให้ตรงกับเอสเอ็มเอส แล้วรับกุญแจมาขับรถให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย กรณีพนักงานเกิดความผิดพลาด บริษัทจะชดใช้เป็นจำนวนเงินไม่เกิน 20,000 บาท
แม้ไม่คิดว่าธุรกิจจะเวิร์ก เนื่องจากเป็นธุรกิจใหม่ แต่หลังจากเปิดบริการมาแล้วกว่า 11 เดือน กลับต้องบอกว่าได้รับการตอบรับดีมาก ไม่เพียงมีคนใช้บริการตั้งแต่เปิดวันแรก ปัจจุบันนี้มีคนขับรถทั้งพาร์ตไทม์และฟูลไทม์ 40 คน และมีผู้ใช้บริการแล้วเดือนละกว่า 300-400 เที่ยว ซึ่งทั้งคู่ก็ยังดูแลเองทุกขั้นตอน
แต่แม้แรกทีเดียว "ยูดริงก์ ไอไดรฟ์" จะเกิดขึ้นเพื่อให้บริการนักดื่ม แต่ก็มีลูกค้าประเภทอื่นๆ มาใช้บริการด้วย
มุ้งมิ้งเล่าว่า หลายครั้งที่มีลูกค้าเคสน่ารักๆ อาทิ ลูกค้าคนหนึ่งเรียกใช้บริการเพราะไปทำศัลยกรรมมาแล้วกลับบ้านเองไม่ได้ หรือลูกค้าคนหนึ่งสายตาสั้น 1,000 กว่า ทำคอนแท็กต์เลนส์ตก ก็โทร.มาให้ไปรับก็มี เราก็ให้บริการทุกคนเพราะจุดมุ่งหมายของเราคือการส่งลูกค้าให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
ส่วนใครอยากเป็นเจ้าของกิจการแบบนี้ ทั้งคู่เผยว่า การจะทำธุรกิจในปัจจุบันต้องใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปให้มาก ให้มีความแปลกแหวกใหม่ อย่างถ้าคิดจะทำร้านกาแฟก็อาจทำได้ แต่ต้องมีกิมมิกให้ดูพิเศษกว่าที่อื่น คือต้องมีจุดขายให้กับธุรกิจของเรา
"การทำธุรกิจยากตรงที่ลงมือทำจริง แม้หลายคนจะอาจมีไอเดียมากมาย แต่หากไม่ลงมือทำก็คงจะยาก ปัจจุบันโอกาสมีมากขึ้น ความสำเร็จคงอยู่ที่การลงมือทำจริง" 2 สาวทิ้งท้าย