ดูให้ชัด! สถาปนิกนักสะสมมีเหรียญ 10 บ.ปี 33 ลั่นไม่คิดขายเหรียญที่เก็บไว้

ดูให้ชัด! สถาปนิกนักสะสมมีเหรียญ 10 บ.ปี 33 ลั่นไม่คิดขายเหรียญที่เก็บไว้

ดูให้ชัด! สถาปนิกนักสะสมมีเหรียญ 10 บ.ปี 33 ลั่นไม่คิดขายเหรียญที่เก็บไว้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายอรรณภพ แก้วปทุมทิพย์ สถาปนิกและนักสะสมเหรียญหนึ่งในผู้ถือครองเหรียญ 10 บาท สองสี พ.ศ. 2533 ซึ่งกำลังเป็นกระแสมีผู้รับซื้อด้วยหลักแสนในตอนนี้ เล่าถึงที่มาของเหรียญ 10 บาทว่าได้จากแหล่งซื้อ-ขายยอดฮิตอย่างจตุจักรเมื่อปี 2543 แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความคิดขายเหรียญหายากแม้จะมีผู้ประกาศรับซื้อเป็นเงินหลักแสนก็ตาม

กระแสการรับซื้อเหรียญ10บาทสองสี พ.ศ. 2533 ทำให้ชาวไทยแทบทุกคนกลับมาทุบกระปุกค้นเหรียญที่เก็บเอาไว้หวังว่าจะมีเหรียญหายากซึ่งร้านชื่อดังรับซื้อในราคาถึง1แสนบาทสำหรับนักสะสมเหรียญรุ่นใหญ่อย่างนายอรรณพ สถาปนิก และนักสะสมเหรียญรุ่นใหญ่ที่เก็บสะสมเหรียญไว้มากมายโดยหนึ่งในนั้นมีเหรียญ 10 บาท สองสี พ.ศ. 2533 รวมอยู่ด้วย ล่าสุด นายอรรณพ เปิดเผยถึงที่มาและรายละเอียดของเหรียญหายากโดยยืนยันว่า ไม่เคยคิดจะขายเหรียญที่ครอบครอง

สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับเหรียญ 10 บาท สองสี พ.ศ.2533 นายอรรณพ เปิดเผยว่า ผู้รู้รุ่นก่อนเล่าว่า อธิบดีกรมธนารักษ์ในสมัยนั้นทำหนังสือขอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขออนุญาตสร้างเหรียญ 10 บาท เชื่อกันว่าเป็นจำนวนประมาณ 100 เหรียญเพื่อเผยแพร่ในงานจัดแสดงเหรียญในต่างประเทศ ซึ่งผู้ถ่ายทอดเรื่องราวระบุว่ามีหนังสือการจัดทำเหรียญยืนยันแต่ก็ยังไม่เคยเห็นหนังสือด้วยตัวเองโดยได้ยินข้อมูลจากผู้รู้ที่ยืนยันข้อมูลอย่างไรก็ตามในช่วงจัดสร้างไม่ค่อยมีผู้สนใจเหรียญนี้มากนักจนกระทั่งเวลาผ่านไปกลุ่มพ่อค้าเหรียญซึ่งมักหาข้อมูลเรื่องการผลิตเหรียญอยู่แล้วทราบเรื่องเข้าก็กลายเป็นที่ฮือฮาขึ้นมาอีกเล็กน้อยแต่ก็ยังอยู่ในวงแคบเพราะวงการเหรียญไม่เหมือนวงการพระเครื่อง

นายอรรณพเล่าต่อว่าหลังจากมีการผลิตเหรียญปี2533 วงการพระเครื่องมีผู้พยายามค้นหาเหรียญนี้มากขึ้นตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นไป แต่ก็ยังไม่มีใครหาได้ ส่วนใหญ่มักเป็นราคาคุย จนกระทั่งประมาณปี 2543 มีพ่อค้าหยิบเหรียญ 10 บาท ปี 2533 ให้ดูและเล่าข้อมูลต่างๆให้ฟังซึ่งในช่วงเวลานั้นราคาที่ซื้อมาก็เป็นหลักแสนแล้ว

"คิดอยู่อย่างเดียวว่าถ้าเอาเหรียญนี้ไปก็จะสามารถถ่ายทอดข้อมูลเหรียญนี้โดยไม่ต้องไปหาข้อมูลจากที่อื่นตรงนี้คือหลักสำคัญการที่จะให้ข้อมูลคนอื่นถ้าไม่มีเหรียญประกอบด้วยใครจะมารู้เรื่องถ้าไม่มีรายละเอียดเหรียญประกอบ เพราะฉะนั้นผมก็จะมีกล้อง มีเหรียญ และถ่ายเองก็เลยตัดใจซื้อมา" นายอรรณพ กล่าว

นายอรรณพ กล่าวต่อว่า เมื่อซื้อเสร็จก็ยังเดินทางถามหาเหรียญนี้จากร้านอื่น ขณะที่ร้านอื่นก็ยังคุยว่าหาเหรียญให้ได้ในราคา 4-5 หมื่นบาท นักสะสมเหรียญรุ่นใหญ่ยอมรับว่า รู้สึกหวิวเล็กน้อยเมื่อได้ยินราคาที่ต่ำกว่าที่ซื้อมา แต่ยังบอกว่าให้พ่อค้าหาเหรียญนี้โดยตัวเองจะให้ราคาเหรียญละ 8 หมื่นบาท อย่างไรก็ตาม จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เจอเหรียญอื่นนอกจากที่ซื้อมาในครั้งแรก

เมื่อถามว่า เหรียญปีนี้อยู่กับมือนักสะสมคนอื่นบ้างหรือไม่ นายอรรณพ ตอบว่ามั่นใจว่าไม่มีใครรู้ข้อมูลนี้ พร้อมให้เหตุผลว่า ไม่มีใครทราบข้อมูลชัดเจน แม้แต่จำนวนเหรียญที่ผลิตมา ถ้าสมมติว่าทำมา 100 เหรียญจริง จะนำไปจัดแสดงทั้ง 100 เหรียญหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัด หรือถ้าสันนิษฐานว่าแจกเหรียญไม่หมดแล้วจะเหลือกลับมาเท่าไหร่ก็ไม่มีใครตอบได้ชัดเจนเพราะเชื่อว่าช่วงเวลานั้นไม่มีใครสนใจมากนัก

"ผมเองผมประเมินจากที่สมมติว่าถ้าเอาไปแล้วแจกสักครึ่งหนึ่งหรืออาจแจกให้ผู้ติดตามต่างก็น่าจะร่วมร้อยเชื่อว่าน่าจะเหลือกลับมาเมืองไทย หรืออยู่ในเมืองไทยประมาณ 30 เหรียญ จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ประมาณว่าน่าจะวนเวียนอยู่แถวนี้ไม่มากนัก" นักสะสมเหรียญเล่า

นายอรรณพ ระบุว่า แม้ว่าการปลอมเหรียญในช่วงนั้นจะทำได้ไม่เหมือนมากนัก และสามารถมองออกว่าเป็นเหรียญจริงหรือปลอมขึ้นมาถ้ามีข้อมูลและสังเกตอย่างละเอียดซึ่งการซื้อเหรียญก็ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดโดยตัวเองจะพกแว่นส่องทั้งขนาด1ต่อ10 และ 1 ต่อ 20  แต่สำหรับเหรียญ 10 บาทปี 2533 จุดที่นักสะสมกังวลคือจุดเลขปีพ.ศ.ผลิตซึ่งอาจมีการตัดหางเลข 7 (๗) แบบไทยให้กลายเป็นเลข 3 (๓)

อย่างไรก็ตาม นอกจากจะสังเกตอย่างละเอียดแล้ว ข้อเท็จจริงคือหัวของเลข ๓ กับเลข ๗ แบบที่ถูกตัดหางไปก็แตกต่างกันอยู่ดีแม้ว่าจะตัดหางได้เนียนแค่ไหน

เมื่อถามว่าสนใจขายเหรียญหรือไม่นายอรรณพระบุว่าในชีวิตไม่เคยขายเหรียญแม้แต่เหรียญเดียวแต่ถ้ารักกันจริงๆก็ให้ฟรี และไม่รู้จักกับร้านที่ประกาศรับซื้อเป็นการส่วนตัว แต่เชื่อว่าอย่างน้อยก็สามารถสร้างกระแสให้คนสนใจเหรียญและทำให้คนเห็นว่าเหรียญที่อยู่ในกระเป๋ามีค่า อาจทำให้คนรุ่นใหม่รักการสะสมมากยิ่งขึ้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook