เปิด7หุ้นเสี่ยงพี/อี กระฉูด"เลี่ยงซื้อ" ปัจจัยลบอื้อกดดัชนีต่ำ1,600จุด-ตลท.จับตาใกล้ชิด
บล.โน มูระฯ ส่อง 7 หุ้นเสี่ยง พี/อี เกิน 60 เท่า บางตัวราคากระโดดทะลุ 4,300% แนะหลีกเลี่ยงลงทุน ฟากผู้จัดการ SET-mai ออกโรงเตือนนักลงทุนเก็งกำไรหุ้นไซซ์กลาง-เล็ก เสี่ยงเจ็บหนัก จังหวะตลาดปรับฐานตามข่าวเฟดชี้ขาดนโยบายดอกเบี้ย
นายกรภัทร วรเชษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ภาพรวมราคาหุ้นไทยในปัจจุบันถือว่าค่อนข้างแพงมากแล้ว เพราะ P/E (อัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ) ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 16 เท่า ขณะที่กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่เริ่มมีกรอบปรับขึ้น (อัพไซด์) ค่อนข้างจำกัด จึงทำให้กระแสการลงทุนของนักลงทุนไทยหันไปเก็งกำไรในกลุ่มหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยเฉพาะหุ้นที่มีกระแสข่าวมากๆ
พร้อมกับแนะนำว่า ช่วงที่ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับฐานและยังมีความผันผวนสูง ถือเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะขายหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งบริษัทได้จัดกลุ่มหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง 7 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อนแรง ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (10 ก.ย. 2557) ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 170-3,400% ขณะที่ P/E สูงกว่า 60 เท่าขึ้นไป ถึงระดับ 190 เท่า ดังนั้นจึงมีโอกาสปรับตัวลง (ดาวน์ไซด์)ค่อนข้างสูง เพราะราคาหุ้นเกินกว่า Fair Value (มูลค่าที่เป็นธรรม) ไปแล้วมาก
โดยหุ้นทั้ง 7 ตัว ได้แก่ บมจ.แอสเซท ไบร์ท (ABC), บมจ.สหการประมูล (AUCT), บมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี (CHOW), บมจ.รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (RASA), บมจ.เอเซียน ไฟย์โต ซูติคอลส์ (APCO), บมจ.ซุปเปอร์บล็อก (SUPER) และ บมจ.ศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ (VIH) (ดูตาราง)
"หุ้นทั้ง 7 ตัวนี้นักลงทุนต้องระมัดระวังการเข้าไปลงทุนอย่างมาก เพราะเก็งกำไรจากความคาดหวังล่วงหน้า จนเกินพื้นฐานของธุรกิจไปมากแล้ว หากนักลงทุนใจกล้า ก็เสี่ยงเจ็บตัวหนัก รวมถึงสถานการณ์ช่วงนี้ที่มูลค่าซื้อขายต่อวัน (แวลู) ปรับตัวลดลง แต่ปริมาณการซื้อขาย (วอลุ่ม) เพิ่มขึ้น สะท้อนว่าตลาดกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยหุ้นขนาดกลางและเล็ก นอกจากทำให้ดัชนีผันผวนแล้ว โอกาสที่ราคาหุ้นจะขึ้นไวลงไวก็มีสูงมากด้วย" นายกรภัทรกล่าว
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดตอนนี้ นักลงทุนควรเริ่มหาจังหวะขายทำกำไร เนื่องจากในครึ่งเดือนหลังจะมีความเสี่ยง โดยเฉพาะจากผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ ซึ่งหากมีสัญญาณว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่คาดก่อนหน้านี้ ก็มีโอกาสทำให้ตลาดพันธบัตรสหรัฐผันผวน ด้านนักลงทุนต่างชาติในไทยจะขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทย เพื่อนำเงินกลับประเทศ อีกทั้งยังมีแรงขายของทริกเกอร์ฟันด์ ที่กดดันดัชนีอยู่ระดับ 1,590-1,600 จุด
ด้านนางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาราคาหุ้นบางตัวเปลี่ยนแปลงเร็วมากตามกระแสข่าวลือ ส่วนหุ้นที่มีราคาเคลื่อนไหวผิดปกติ หรือปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลาดก็มีทีมงานคอยติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิด รวมถึงขึ้นเครื่องหมายแจ้งเตือนนักลงทุน หากพบการซื้อขายที่ผิดปกติ
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า ปัจจุบัน P/E ของตลาด mai ปรับตัวขึ้นมาถึง 78.78 เท่า ขณะที่มี บจ.ในตลาดนี้ทั้งหมด 103 แห่ง ซึ่งในจำนวนนี้มี 42 บริษัทที่น่าจับตา แบ่งเป็นกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานขาดทุน 27 บริษัท และกลุ่มที่มีอัตราส่วนราคาหุ้นเทียบมูลค่าทางบัญชี ต่อหุ้น (P/BV) ที่เกิน 5 เท่า และมี P/E สูงกว่า 30 เท่า อีก15 บริษัท ซึ่งถ้าตัด 42 บจ.นี้ออกไป จะทำให้ P/E ของตลาด mai อยู่ที่ 24.85 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ไม่สูงมากนัก
"อยากให้ผู้ลงทุนระมัดระวังให้มาก เพราะหุ้นบางตัวมีผลขาดทุน แต่ราคากลับสูงขึ้น ส่วนกลุ่มที่มีค่าพี/อีสูงเกิน 30 เท่า และค่า P/BV เกิน 5 เท่า ทางตลาดจะติดตามดูแลเป็นพิเศษ คอยสอบถามอยู่เป็นระยะว่า บริษัทมีพัฒนาการสำคัญสอดคล้องกับราคาหรือไม่" นายประพันธ์กล่าว