3 ข้อคิดเพื่ออิสรภาพทางใจ
มุมมองของคนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งให้ตนเองคิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรให้มีเงินเพิ่มมากขึ้น จะทำอย่างไรให้เงินที่มีเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จะหาเงินอย่างไรให้มีใช้อย่างสุขสบายๆไปตลอดชีวิต สุดท้ายก็วนเวียนอยู่กับคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน” จนทำให้ชีวิตนี้ค้นหาหนทางเพื่อไปถึงสิ่งนั้น จนลืมหันกลับมามองตนเองว่ามันเป็นสิ่งที่ตนเองต้องการอย่างแท้จริงหรือเพียงต้องการมีให้เหมือนคนอื่นๆ
นิค วูจิซิส (Nick Vujicic) หนุ่มวัย 31 ปีชาวออสเตรเลีย ผู้ไร้แขนและขาซึ่งเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจที่มีชื่อเสียง เขาใช้ชีวิตประจำวันได้ไม่ต่างกับคนที่มีอวัยวะครบ 32 โดยมีนิ้วเท้าเพียง 2 นิ้วเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการทำกิจกรรมหลายอย่าง คือ เขียนหนังสือ พิมพ์งานในคอมพิวเตอร์ ว่ายน้ำ รับโทรศัพท์ สร้างเสียงดนตรี เป็นตัวช่วยให้เขาก้าวเดินไปในที่ต่างๆ และตอนนี้เขากลายเป็นคุณพ่อมือใหม่เพราะพึ่งให้กำเนิดลูกชายคนแรกไปเมื่อปี 2013 แม้ว่าร่างกายภายนอกแตกต่างกับคนทั่วไป แต่แนวคิดการใช้ชีวิตของเขานั้นมีคุณค่าและเป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ที่มีอวัยวะครบ 32 มาแล้วเกือบทั่วโลก
ความสำเร็จในชีวิตมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้เรามีอะไรและต้องการมีอะไรต่อไปในอนาคต แต่มันอยู่ที่การใช้สิ่งที่มีนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดิฉันจะยกตัวอย่างแนวคิดของคุณนิค วูจิซิส มาบางส่วนเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับผู้ที่กำลังเป็นทุกข์กับสิ่งที่ไม่มี ได้หันกลับมามีความสุขกับสิ่งที่มีนะคะ
3 ข้อคิดสำหรับอิสรภาพทางใจ
1.มีความสุขจากสิ่งที่มี
ในช่วงแรกเขามีความเครียดว่าทำไมตนเองไม่มีอวัยวะเหมือนคนอื่น ถูกเพื่อนหยอกล้อ ความเครียดต่างๆเหล่านี้ทำให้เขาเกือบฆ่าตัวตายในขณะที่อายุ 8 ขวบ แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดได้ว่าทำไมจะต้องเครียดกับสิ่งที่ไม่มีและควบคุมไม่ได้ เพราะเขาไม่สามารถทำให้แขนหรือขางอกออกมาได้ โดยสร้างความสุขจากสิ่งที่มีมากกว่าเป็นทุกข์จากสิ่งที่ไม่มี
การสร้างความมั่งคั่งเพื่อความสุขสบายในอนาคตนั้น ทำให้หลายคนมุ่งมั่นแต่หารายได้เพิ่ม บางครั้งก็ใช้วัตถุนิยมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพิ่มมากขึ้น จนลืมย้อนกลับมาดูสิ่งที่เรามีในปัจจุบันว่าใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแล้วรึยัง เช่น เปิดตู้เสื้อผ้าทุกครั้งก็มักพูดว่า “ไม่มีอะไรจะใส่” ทั้งที่ความจริงแล้วมีเต็มตู้แทบล้นออกมา วิธีสร้างความสุขจากเสื้อผ้าอย่างง่าย คือ การหาไอเดียการแต่งตัวแนวใหม่จากของเดิมที่มีอยู่เพื่อประหยัดรายจ่าย จะได้มีเงินเหลือไปลงทุนกับความมั่งคั่งในอนาคตมากขึ้น
2.เป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน
ข้อจำกัดทางร่างกายที่ไร้แขนขาที่มองผิวเผินแล้วไม่น่าจะช่วยตนเองได้ แต่เขาสามารถทำได้ทุกอย่างเหมือนคนปกติทั่วไปและสามารถช่วยเหลือคนที่มีอวัยวะครบ 32 มาแล้วมากมาย เพราะเขามีแนวคิดการใช้ชีวิตที่มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร โดยเริ่มจากการทำชีวิตให้มีค่า รู้จักตนเอง และทำทุกอย่างโดยเชื่อหัวใจของตนเอง
การตั้งเป้าหมายนั้นสำคัญต่อการลงทุนเป็นอย่างมาก ซึ่งเป้าหมายที่ชัดเจนจะต้องรู้ว่า “อะไร เท่าไหร่ เมื่อไหร่” หากทุกอย่างชัดเจนเราก็จะรู้ว่าควรทำอะไรต่อไปในอนาคตเพื่อที่จะไปถึงสิ่งที่เราคาดหวังไว้ เช่น หากเราตั้งเป้าหมายว่า “ฉันอยากจะมีชีวิตเกษียณที่สุขสบาย” ก็จะเป็นความหวังที่ดูเลือนรางเพราะไม่รู้ว่าเกษียณสบายเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราเพิ่มเป็น “ฉันอยากจะมีชีวิตเกษียณที่สุขสบาย โดยมีเงินใช้เดือนละ 20,000 บาท ตั้งแต่อายุ 60-80 ปี” หากเป็นแบบนี้เราก็จะคำนวณได้ว่าควรเก็บเงินไว้ใช้หลังเกษียณเท่าไหร่ โดยเปรียบเทียบกับปัจจุบันว่าตอนนี้มีอยู่แล้วเท่าไหร่ ควรเก็บเพิ่มอีกเท่าไหร่เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายนั้น หากเก็บเงินไม่ทันก็จะรู้ว่าควรหารายได้ทางอื่นอย่างไร
3.ความพยายามและความอดทน
การฝึกใช้ชีวิตที่ไร้แขนขาให้สามารถทำทุกอย่างได้เหมือนคนปกตินั้นยากลำบากมาก เพราะต้องอาศัยความพยายามและความอดทนมากกว่าคนอื่น ลองนึกภาพเราใช้มือจับดินสอหัดเขียนครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นเส้นแนวตั้ง แนวนอน ตัวอักษรต่างๆก็ออกมาไม่ตรงตามรอยเส้นปะ เส้นขดไปมา กว่าเราจะเขียนให้ตรงตามรอยได้จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ แต่คุณนิคใช้นิ้วเท้าเพียง 2 นิ้วในการเขียนหนังสือ แม้ว่าจะต้องใช้เวลาในการฝึกฝนมากกว่าคนอื่น แต่สุดท้ายเขาก็ทำสำเร็จ
ไม่มีใครประสบความสำเร็จจากการลงทุนตั้งแต่ครั้งแรก เพราะจะต้องมีการลองผิดลองถูกด้วยกันทั้งนั้น เรียนรู้จากสิ่งผิดพลาดและพัฒนาสิ่งที่ถูกต้องให้ดียิ่งขึ้น โดยการทำทุกอย่างด้วยความพยายามและอดทนเพื่อให้สำเร็จตามที่คิดไว้ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่รอไม่เป็น ต้องการลงทุนแล้วได้ผลรวยทันตา ทำให้เป็นนักลงทุนที่ขาดวินัยการลงทุนที่ดี ถ้าอยากรวยต้องอดทนนะจ๊ะ ไม่มีอะไรได้มาแบบฟลุ๊กๆ
ผู้เขียน : อภินิหารเงินออม
สนับสนุนข้อมูลโดย : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th/onlineinvestor)
