AYS Morning Brief - บล.กรุงศรีอยุธยา
Economic NEWS เงินเฟ้อเม.ย. สูงขึ้น 4%สูงสุด15เดือน ตรึงดีเซลกดเงินเฟ้อ 0.3% ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทยประจำเดือนเม.ย.2554 อยู่ที่ 112.01 สูงขึ้น 4.04% เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย.2553 สำหรับสาเหตุเพระการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม 8.59% จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์ 4.26% เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และ สัตว์น้ำ 8.86% ไข่ และผลิตภัณฑ์นม 6.76% ผักและผลไม้ 20.61% เครื่องประกอบอาหาร 13.03% อาหารสำเร็จรูป 6.14% (กรุงเทพธุรกิจ) Market today (MarketCast ฉบับวันนี้ ) แม้ SET จะปิดตลาดแข็งแกร่งเมื่อวันศุกร์...แต่ยังไม่น่าไว้วางใจ และต้องระวังการพักฐานต่อไป Sector news & update (รายงานฉบับวันนี้) ยานยนต์ | น้ำหนักลงทุนเท่าตลาด News comment: สรรพสามิตลุยภาษีรถ เก๋ง-ปิกอัพเจอหนัก Stock news & update (รายงานฉบับวันนี้) TRUE | ขาย/มูลค่าพื้นฐาน 4.04 บาท News comment: สรุปผลการประชุม Company Visit เมื่อวานนี้ LPN | ถือ/มูลค่าพื้นฐาน 9.00 บาท News comment: เปิดขายโครงการใหม่ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา Technical (TrendTrading ฉบับวันนี้) - SET Index | ปิด 1093.56 แนวรับ 1190-1087 แนวต้าน 1100-1103 - AVDANC | ราคาปิด 92.50 บาท แนวรับ 90-89 แนวต้าน 96,-99-100 - HEMRAJ | ราคาปิด 2.32 บาท แนวรับ 2.30-2.26 แนวต้าน 2.42,2.60 - GUNKUL | ราคาปิด 11.10 บาท แนวรับ 11-10.7 แนวต้าน 11.60-12.0 Events - สัปดาห์ที่ 4 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง - 30 เม.ย. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยประจำเดือน Automotive สรรพสามิตลุยภาษีรถ เก๋ง-ปิกอัพเจอหนัก นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ได้เรียกผู้ประกอบการค่ายรถยนต์ทุกยี่ห้อมาหารือเพื่อสรุปโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ให้เสร็จภายใน 1 เดือน ตามคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยผู้ประกอบการรถยนต์แต่ละแห่งยังมีความเห็นที่แตกต่างกันมากในเรื่องโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ แต่มั่นใจว่าจะสรุปได้ภายใน 1 เดือน สำหรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่จะทำให้อัตราภาษีน้อยลง และอิงกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นหลัก หากมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยก็จะได้ลดภาษีลงมา แต่หากทำไม่ได้ก็ต้องเสียภาษีเท่าเดิม หรือมากกว่าหากปล่อยก๊าซออกมาเกินที่กำหนด โดยจะให้เวลาผู้ประกอบการปรับตัว 3 ปี นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวว่า กรมสรรพสามิตได้ขอให้ทุกค่ายไปหารือกับบริษัทแม่ เพื่อสรุปตัวเลขรถยนต์ของบริษัทว่า มีเท่าไหร่ ปล่อย CO2 ในอัตราเท่าใดบ้าง และโครงสร้างภาษีการปล่อย CO2 ที่เหมาะสมควรอยู่ในอัตราใด และกลับมาเสนอภายใน 1 สัปดาห์ ทั้งนี้ โครงการสร้างภาษีใหม่ รถยนต์นั่งที่มีเครื่องยนต์ไม่เกิน 3,000 ซีซี จะเสียภาษีอัตรา 30% แต่หากเกิน 3,000 ซีซี จะเสียภาษี 50% จากเดิมที่รถไม่เกิน 2,000 ซีซี เสีย 30% ขนาด 2,001-2,500 ซีซี เสีย 35% ขนาด 2,501-3,000 ซีซี เสียภาษี 40% มากกว่า 3,000 ซีซี เสีย 50% ขณะที่รถยนต์ตรวจการณ์ดัดแปลงเสียเท่าเดิม 20% รถยนต์ประหยัดพลังงานทั้ง รถยนต์ E85 อัตราภาษีลบ 3% จากอัตรารถยนต์นั่ง จากเดิมเสียภาษีลบ 5% จากภาษีรถยนต์นั่ง รถยนต์ NGV-OEM อัตราภาษี 20% และรถยนต์ Hybrid อัตราภาษี 10% หลังจากนั้นจะต้องมาดูภาษีการปล่อย CO2 หากปล่อยเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร ต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 5% แต่หากปล่อยน้อยกว่า 150 กรัมต่อกิโลเมตร จะได้ลดภาษีลง 5% แต่หากปล่อยอยู่ในช่วงไม่เกิน 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร ให้เสียในอัตราปกติ สำหรับภาษีสรรพสามิตรถปิกอัพที่ปัจจุบันเก็บอัตรา 3% และรถดับเบิลแค็บ 12% ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะเก็บภาษีที่อิงกับการปล่อย CO2 ในอัตราเท่าใด โดยกรมสรรพสามิตพิจารณาเสนอให้เก็บรถปิกอัพบวกลบ 2% และรถดับเบิลแค็บบวกลบ 3% ความเห็นและคำแนะนำ : ประเด็นการปรับเพิ่มโครงสร้างภาษีรถยนต์ผลกระทบไม่ชัดเจน แต่อาจเป็นลบในระยะสั้น โดยแนวคิดในการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์(จากเดิมจัดเก็บตามขนาดเป็นจัดเก็บตามปริมาณการใช้น้ำมัน) แต่ผู้ผลิตส่วนใหญ่มีความกังวลว่าจะเสียอัตราภาษีเพิ่ม ซึ่งผลลบต่อกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในตลาดคือการผลักภาระต้นทุนมาให้ ในขณะที่ระยะยาวคาดว่าผู้ผลิตรถยนต์จะเพิ่มสัดส่วนรถเล็กประหยัดพลังงานมากขึ้นทำให้แนวโน้มต้นทุนในระยะยาวปรับลดลง เรามองว่าในระยะส้นราคาหุ้นกลุ่มยานยนต์มีแนวโน้มอ่อนตัวทั้งผลกระทบจากแผ่นดินไหวญี่ปุ่นที่ทำให้การผลิตชะลอตัว และโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ อย่างไรก็ตามเราคงน้ำหนักกลุ่มยานยนต์เรายังคงให้เท่าตลาด โดยคงประมาณการผลประกอบการในปี 54 ยังเติบโต 16% จากปีก่อน เราแนะนำให้ลดการลงทุนในระยะสั้นคาดราคายังมีแนวโน้มอ่อนตัว เนื่องจากตลาดคาดการผลประกอบการจะชะลอตัวใน 2Q54 โดยเราแนะนำรอซื้อเมื่ออ่อนตัวสำหรับ STANLY (ราคาเป้าหมาย 241 บาท) SAT(ราคาเป้าหมาย 30 บาท) ส่วน AH แนะนำเก็งกำไร (ราคาเป้าหมาย 15.80 บาท) TRUE สรุปผลการประชุม Company Visit เมื่อวานนี้ - ผลประกอบการใน 1Q54 มีแนวโน้มชะลอตัวตัวลงทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากเริ่มบันทึกงบของ HUTCH ประมาณ 2 เดือนในงบรวม ซึ่ง HUTCH มีระดับ EBITDA ที่ต่ำกว่าธุรกิจเดิมของบริษัท และยังมีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน ในขณะที่หากไม่รวมผลจาก HUTCH คาดว่าผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น QoQ และ YoY โดยพบว่า 1) True Move รายได้จาก Non-Voice ยังโตต่อเนื่อง กอปรกับการเปิดตัว iphone4 ในปลายปีก่อนทำให้ยอดขายโทรศัพท์และปริงานการใช้งานด้านข้อมูลเพิ่มมากขึ้น 2) True Vision คาดว่ารายได้ค่าโฆษณาลดลง QoQ ตามฤดูกาล แต่ยังเติบโตดีจากปีก่อน 3) True Online ตลาดบรอด์แบรนด์ ยังเติบโตดี ช่วยหนุนให้ฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ตลาดโทรศัพท์พื้นฐานพบว่าเริ่มทรงๆตัวจากที่ปรับลดลงมาตลอด - ยังคงเป้าหมายการเติบโตในปี 54 ในส่วนของรายได้ที่ 5-6% หลักๆคาดว่าจะมาจาก True Vision ที่คาดว่ารายได้ค่าโฆษณาจะเพิ่มไม่ต่ำกว่า 50% จากการเปิดช่องเคเบิ้ลเพิ่ม ส่วน True Move คาดว่ายังโต จากฐานลูกค้าที่เพิ่มจากการเจาะตลาด ต่างจังหวัด และคาด Non voice โตตามอุตสาหกรรม - ประเด็นที่ DTAC ยื่นฟ้อง TRUE กับ CAT สำหรับดีลความร่วมมือในการพัฒนาระบบ CDMA และ HSPA เนื่องจาก DTAC อ้างว่าเป็นผู้เสียผลประโยชน์โดยตรง เนื่องจากทาง TRUE ซึ่งอยู่ภายใต้สัมปทานเดียวกันสามารถทำการตลาดและให้บริการได้ก่อน โดยผู้บริหารยังยืนยันว่าสัญญาดังกล่าวไม่ได้เข้าข่าย พ.ร.บ ร่วมทุน ความเห็นและคำแนะนำ ในทางพื้นฐานเราปรับคำแนะนำจากเดิม “เก็งกำไร” เป็น “ขาย”เรามองว่าราคาหุ้นได้ปรับเพิ่มขึ้นสะท้อนปัจจุยบวกจาก HUTCH และผลสำเร็จจากการเพิ่มทุนไปแล้ว ในด้านผลการดำเนินงานคาดว่าระยะสั้นยังไม่เห็นผลบวกชัดเจนจาก HUTCH เนื่องจากอยู่ในช่วงปรับโครงสร้างธุรกิจ ในขณะที่มูลค่าพื้นฐานรวมผล dilute จากการเพิ่มทุนเท่ากับ 4.04 บาท เต็มมูลค่าเมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน ในขณะที่ประเด็นการฟ้องร้องยังเป็นปัจัยเสียง ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวเรามองว่าต้องรอคำตัดสินจากศาลปกครอง ซึ่งหากศาลปกครองยืนยันความถูกต้องตามกฏหมายของสัญญาระหว่าง บมจ.กสท โทรคมนาคม และ กลุ่มบริษัท ทรู จะเป็นผลบวกต่อ TRUE กลับกันหากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าสัญญาดังกล่าวมีความไม่ถูกต้องก็จะเป็นผลลบต่อหุ้น TRUE โดยขั้นตอนคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2- 3 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย L.P.N. Development เปิดขายโครงการใหม่ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ความเห็นและคำแนะนำ : เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา LPN ได้เปิดโครงการใหม่ระดับ Low-end เพิ่มเติมอีก 1 แห่ง “ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-เพชรบุรีตัดใหม่” มูลค่าประมาณ 1.65 พันล้านบาท และมียอดจองประมาณกว่า 500 ยูนิตหรือประมาณ 35% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด ซึ่งยังเป็นช่วงเริ่มต้น Soft Launch และเลือกเปิดขายเพียงบางชั้น ยอดจองที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าจะไม่ Surprise ตลาดและการคาดการณ์ของเรามากนัก อย่างไรก็ตามโครงการเปิดใหม่นี้เป็นอาคาร Low-rise ซึ่งบริษัทจะสามารถพัฒนาโครงการได้ภายในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้าและจะเริ่มต้นรับรู้เป็นรายได้ของบริษัทในช่วง 3Q55 เป็นต้นไปและบริษัทยังมีเวลาที่จะเร่งการขายโครงการเพื่อให้ทันการรรับรู้รายได้ในโครงการดังกล่าว สำหรับในเดือน พ.ค. นี้ บริษัทเตรียมเปิดขายโครงการใหม่ ลุมพินี คอนโดทาวน์ พัทยาเหนือ-สุขุมวิท (มูลค่า 800 ล้านบาท) ในวันที่ 9 พ.ค. 54 ซึ่งเรามองโครงการนี้จะเป็นปัจจัยชี้นำแนวโน้มความสำเร็จในการเปิดตลาดใหม่ของบริษัทในต่างจังหวัดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีหรือไม่ คงคำแนะนำ ถือ ประเมินมูลค่าพื้นฐาน 9 บาท โดย บมจ. หลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา ประจำวันที่ 3 พ.ค. 2554