10 เทรนด์โซเชียล การตลาดสั่นสะเทือนธุรกิจเอสเอ็มอีปี 2015

10 เทรนด์โซเชียล การตลาดสั่นสะเทือนธุรกิจเอสเอ็มอีปี 2015

10 เทรนด์โซเชียล การตลาดสั่นสะเทือนธุรกิจเอสเอ็มอีปี 2015
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Miami Herald สื่อท้องถิ่นยักษ์ใหญ่แถบเซาท์ฟลอริดารายงานว่า ในปี 2015 นี้ ธุรกิจขนาดเล็กจะต้องปรับตัวตามกระแสการตลาดเพื่อความอยู่รอด แม้จะเป็นมุมมองจากสื่อท้องถิ่นแต่ก็นับว่าเป็นแนวทางที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจทั่วโลก โดยแบ่งเป็น 10 ข้อดังนี้

1.โซเชียลมีเดีย จะเป็นตัวขับเคลื่อนการใช้จ่ายของผู้บริโภค

ในปีที่ผ่านมาทั้งทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก เริ่มต้นทดลองฟีเจอร์ใหม่ที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถซื้อสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้นเพียง 1-2 คลิก โดยทั้งสองเปิดตัวปุ่ม "Buy" ให้อยู่ใกล้ๆ กับสเตตัสและทวีตที่อัพขึ้นบนจอ โดยผู้ใช้ไม่ต้องออกจากระบบเพื่อมาทำรายการสั่งซื้อ ในปีนี้ทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ถือเป็นช่องทางสำคัญในการขับเคลื่อนการใช้จ่ายของผู้คน ปรากฏการณ์ที่สามารถซื้อสินค้าผ่านระบบโซเชียลมีเดียดังกล่าวจะเป็นความได้เปรียบ และช่วยเสริมให้ผู้ประกอบการรายเล็ก ๆ สามารถสร้างรายได้แบบเป็นกอบเป็นกำมากขึ้น

2.การใช้จ่ายของเพื่อนจะมีผลต่อการช็อปของคุณ

การเห็นเพื่อนของเราโพสต์รูปสินค้า หรือร้านที่ไปใช้บริการแล้วเราไม่หวั่นไหวนับว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก ในปี 2015 นี้ก็เช่นกัน มีการคาดการณ์ว่า พฤติกรรมการจับจ่ายสินค้าและบริการของเพื่อนจะมีผลต่อผู้บริโภคของคุณมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะคนยุคใหม่ (ผู้ที่เกิดในปี 1981-2000) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้งานโซเชียลมีเดียสูง จากการสำรวจของ Harris Interactive เผยว่า 68 เปอร์เซ็นต์ของคนกลุ่มนี้ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งครั้งที่ซื้อสินค้าตามเพื่อน หลังจากเห็นเพื่อนโพสต์รูปสินค้าหรือบริการ

3.โซเชียลมีเดียดาวรุ่งจะเพิ่มสูงขึ้น และโซเชียลมีเดียบางประเภทจะเริ่มดับไป

ในปี 2014 มีโซเชียลมีเดียรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย อาทิ Yik Yak แอปพลิเคชั่นที่อนุญาตให้ผู้ใช้ซึ่งเป็นใครก็ได้ สามารถเห็นโพสต์ของคุณได้หากอยู่ในรัศมี 1.5 ไมล์ Ello เป็นพื้นที่ลงโฆษณาฟรีในโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยไม่นำข้อมูลส่วนตัวของเราไปขายให้บุคคลที่สาม และ Tsu อีกหนึ่งโซเชียลมีเดียที่สร้างรายได้แก่ผู้ใช้จากความนิยมของการโพสต์แต่ละครั้ง น่าจะเป็นเครือข่ายที่เข้ามาถมจุดด้อยของเหล่าโซเชียลยักษ์ใหญ่ โดยชูจุดเด่นที่ความเป็นส่วนตัว และเรื่องไม่มีโฆษณามารบกวน

4.การโฆษณาบนทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น

การโฆษณาลงสื่อเหล่านี้จะกลายเป็นแผนการตลาดที่คุณต้องเขียนไว้ในแผนธุรกิจ แม้ในธุรกิจขนาดเล็กก็ตาม เนื่องจากขณะนี้เฟซบุ๊กเริ่มจำกัดจำนวนคนที่จะสามารถเห็นโพสต์บนแฟนเพจของผู้ใช้ แต่การโปรโมตด้วยการโพสต์และการโฆษณายังมีความเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ราคาค่าโฆษณาบนเฟซบุ๊กพุ่งขึ้นกว่า 10 เปอร์เซ็นต์จากปี 2013 ส่วนบนทวิตเตอร์จะมีการเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ประกอบการที่ต้องการโฆษณาแทนรายได้จากค่าธรรมเนียมจากการรีทวีตการติดตั้งแอปพลิเคชั่นและการคลิก

5.ยอดไลก์จะมีผลต่อพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค

เห็นได้จากการที่อินสตาแกรมมีการอ้างอิงตัวเลขผู้ใช้งานที่มีอยู่ถึง 200 ล้านคน ชี้โอกาสที่ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถหาลูกค้าจากฐานผู้ใช้เหล่านี้ โดยการลงรูปและวิดีโอที่นำเสนอจุดเด่นของสินค้า เมื่อไม่นานมานี้อินสตาแกรมเปิดให้มีการใช้วิดีโอในการโฆษณาสินค้า โดยมีเวลาให้ 15 วินาที พร้อมทั้งสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมาย เช่น อายุ เพศ และที่อยู่ได้ด้วย

6.การเผยแพร่ข้อมูลผ่าน Linkedln

จะได้รับความนิยมสูงขึ้น ในปี 2015 Linkedln จะเดินหน้าดำเนินงานบนพื้นฐานธุรกิจต่อไปเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญ มีคอนเทนต์เกี่ยวกับเทรนด์ธุรกิจ ไอเดียอาชีพต่าง ๆ ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นแหล่งที่คุณสามารถแสดงความคิดเห็นในหัวข้อต่าง ๆ รวมถึงการสร้างแบรนด์ผ่าน Linkedln ได้อีกด้วย

7.การเลือกคำเพื่อทำการตลาดจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ

คำที่สื่อถึงแบรนด์เป็นช่องทางที่ดีในการเข้าถึงผู้บริโภคโดยไม่รุกหรือดูฮาร์ดเซลการมีคำที่กระแทกใจผู้ซื้อ สื่อถึงสินค้าที่ต้องการเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรมีไว้เพื่อเป็นประโยชน์ในการสื่อสารแบรนด์ในยุคนี้

8.โซเชียลมีเดียจะเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลลูกค้า

แบรนด์ใหญ่ต้องรับมืออย่างหนักกับกลุ่มลูกค้าที่จ้องโจมตีผ่านโซเชียลมีเดีย นั่นแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีอิสระในการแสดงออกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการที่เขาได้รับ ซึ่งคำวิพากษ์เหล่านี้จะมีผลต่อสินค้าของคุณ ไม่ว่าคุณจะขายสินค้านั้นได้หรือไม่ ! การติดตามว่าผู้บริโภคพูดถึงแบรนด์อย่างไรบนโซเชียลเป็นสิ่งจำเป็น การตอบคำถาม ติดตามกระแสของผู้บริโภคแบบทันท่วงทีเป็นสิ่งที่แบรนด์ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ต้องเผชิญ

9.การตลาดสำหรับคนรุ่นใหม่

Leaders West Digital Marketing เผยว่ามีกลุ่มคนรุ่นใหม่ สูงถึง 76 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา นับเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ของประชากรรวมของอเมริกา ซึ่ง 63 เปอร์เซ็นต์เป็นกลุ่มที่มีการศึกษาอย่างน้อยระดับปริญญาตรี 46 เปอร์เซ็นต์ พึ่งพาโซเชียลมีเดียในการซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์

10.พลังซื้อจากชนกลุ่มน้อยจะเพิ่มสูงขึ้น

สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่ตระหนักถึงพลังของคนกลุ่มน้อยที่เติบโตขึ้นจะกลายเป็นได้รับผลกระทบแง่ลบต่อธุรกิจจากการวิเคราะห์ของฐานข้อมูลจาก USA Today พบว่า มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของคนอเมริกาไม่ใช่คนผิวขาว และจากการสำรวจประชากรของสหรัฐอเมริกาคาดการณ์ว่าในปี 2017 กลุ่มฮิสแปนิก (Hispanic) หรือกลุ่มคนที่ใช้ภาษาสเปน จะเป็นกลุ่มที่สร้างกำลังซื้อ 17 เปอร์เซ็นต์ของประชากร หรือถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์

แม้ผลวิจัยจะอ้างอิงจากฝั่งสหรัฐ อเมริกา และความนิยมโซเชียลมีเดียหลายๆ ตัวยังมาไม่ถึงไทย แต่การที่ผู้ประกอบการรู้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมวิธีรับมือที่เหมาะสมก็นับว่าเป็นวิธีที่เศรษฐียุคใหม่ใคร่ทำกัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook