เหนือคาด"ทอง"กลับทิศขาขึ้น หรือสัญญาณลงทุน...จะมาเร็วเกินคาด?
นับจากปี 2554 ที่ราคาทองคำเคยขึ้นไปทำสถิติสูงสุดที่ระดับกว่า 1,920 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 27,000 บาท แต่หลังจากนั้นราคาทองคำก็มีทิศทางซึมตัวต่อเนื่องมากว่า 2 ปี ทำให้ภาพแห่งความคึกคักจากการต่อแถวยาวเหยียดเพื่อรอซื้อทองที่ "เยาวราช" กลายเป็นความทรงจำในอดีตเท่านั้น และแล้วเมื่อช่วงต้นปีนี้ ราคาทองกลับมาทะยานขึ้นรวดเร็ว นักลงทุนมีความหวังว่า "สัญญาณลงทุนจะฟื้นตัวกลับมาเร็วกว่าที่คาด"
ความคาดหวังของนักลงทุนไทยที่อยากให้ราคาทองฟื้นตัวเป็นขาขึ้น ไม่ได้เกินไปกว่าความเป็นจริงนัก เพราะในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ราคาทองได้ทะยานตัวขึ้นไปอย่างมาก จนแตะระดับสูงสุดที่ 1,350 เหรียญต่อออนซ์ หรือบาทละ 20,100 บาท ในวันที่ 21 ม.ค. 2558 ส่งผลให้กราฟราคาทองทะยานขึ้นเป็นทางชัน บ่งบอกถึงการฉีกตัวอย่างมากจากราคาปกติ
"นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ" ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก ระบุว่า การกลับทิศของราคาทองในครั้งนี้ เป็นผลสะท้อนจากการที่ "ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์" (SNB) ประกาศยกเลิกเพดานการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนฟรังก์สวิส พร้อมกับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ -0.75% จากเดิม -0.25% โดยมีเป้าหมายที่จะควบคุมค่าเงินฟรังก์สวิสไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป เมื่อเทียบกับยูโร รวมทั้งไม่ให้เศรษฐกิจของประเทศถดถอย และตกอยู่ในภาวะเงินฝืด
"ตามกลไกปกติเราจะพบว่า หากค่าเงินยูโรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ราคาทองคำก็จะมีแนวโน้มอ่อนตัวลง แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจในระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนมาก จากนโยบายของธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ จึงได้หันมาลงทุนในทองคำแทน ทำให้ทองคำได้รับสถานะ Safe Haven คืน จากที่ผ่านมามีสถานะเป็นสินทรัพย์เพื่อเก็งกำไร"
ดังนั้น "นายแพทย์กฤชรัตน์" จึงประเมินว่า ราคาทองคำอาจมีโอกาสเข้าสู่ช่วง "ขาขึ้น" เร็วกว่าที่คาด แต่ต้องอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ราคาทองต้องปรับตัวขึ้นสูงกว่าระดับ 1,380 เหรียญต่อออนซ์ หรือบาทละ 20,800 บาท ส่วนแนวต้านประเมินที่ระดับ 1,180 เหรียญต่อออนซ์ หรือบาทละ 18,200 บาท
เช่นเดียวกับ "ฐิภา นววัฒนทรัพย์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ที่มีความเห็นว่า ทองคำได้กลับเข้าสู่สถานะ "Safe Haven" อย่างชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องรอลุ้นมาตรการของธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
"สัญญาณบ่งชี้ที่น่าสนใจคือ ยอดการซื้อสะสมของกองทุนขนาดใหญ่อย่าง SPDR ที่ล่าสุดถือครองทองทั้งสิ้น 742.24 ตัน เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2558 จากต้นปีที่ถืออยู่ราว 709.02 ตัน และธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ เช่น รัสเซีย รวมถึงจีนที่มีแนวโน้มการซื้อสะสมทองคำมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ราคาทองในช่วงนี้ปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างมาก" ฐิภากล่าว
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องจับตาสัญญาณทางเทคนิคด้วยว่า ราคาทองสามารถปรับตัวขึ้นไปสูงกว่า 1,350 เหรียญต่อออนซ์ หรือบาทละ 27,000 บาท ได้หรือไม่ เนื่องจากระดับดังกล่าวเป็นแนวต้านสำคัญที่บ่งบอกว่า ราคาทองคำได้กลับเข้าสู่ช่วง "ขาขึ้น" แล้วหรือยัง ส่วนแนวรับประเมินที่ระดับ 1,150 เหรียญต่อออนซ์ หรือบาทละ 18,000 บาท
ด้าน "กมลธัญ พรไพศาลวิจิต" ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีทีเวลธ์ แนะนักลงทุนควรจับตาประเด็นสำคัญ ได้แก่ การเลือกตั้งของกรีซ ในวันที่ 25 มกราคมนี้ เพราะหากพรรคไซรีซา ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านได้รับเลือกเข้ามาเป็นรัฐบาล อาจไม่เป็นผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรปนัก เนื่องจากพรรคดังกล่าวต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัด อย่างไรก็ตามผลสะท้อนจากประเด็นนี้จะทำให้เกิดความผันผวนของค่าเงินและมีผลดีต่อราคาทองคำ
นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส2ซึ่งจะกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงได้ในระยะสั้น
ส่วนกลยุทธ์การลงทุน ภายใต้มุมมองของ "ธนรัชต์ พสวงศ์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส รวมถึงผู้ค้าทองรายอื่น ๆ มีความเห็นตรงกันว่า นักลงทุนไม่ควรรีบร้อนเข้าซื้อในครั้งเดียวโดยใช้เงินจำนวนมาก แต่ควรลงทุนโดยใช้วิธี "ทยอยซื้อ" ในทองคำแท่ง ส่วนสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold Futures) แนะนำให้เปิดสถานะ "Long" หรือซื้อล่วงหน้า ด้วยการเล่นตามกรอบลงทุนระยะสั้น เพราะระหว่างทางอาจมีความเปลี่ยนแปลงด้านประเด็นการลงทุน จนทำให้เกิดความเสี่ยงจากแรงขายได้
แม้ทองคำจะสามารถทวงคืนบัลลังก์ "Safe Haven" ได้แล้ว แต่จะเป็นขาขึ้นหรือไม่นั้น นักลงทุนคงต้องรอจับสัญญาณด้านอื่นด้วย