เฮ! กองทุนการออม ผ่านครม.แล้ว เดินหน้าสู่ระบบบำนาญแห่งชาติ
พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ รองเลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย(มส.ผส.) กล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)ล่าสุดวันนี้ว่า ขอขอบคุณรัฐบาลชุดนี้ ที่มีมติเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ..โดยถือว่าเป็นแนวทางในการลดความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นรูปธรรมและจะเป็นเส้นทางสร้างระบบบำนาญแห่งชาติเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุไทยในอนาคตได้อย่างเห็นผล
“ที่ผ่านมาคุณอรุณีศรีโตประธานเครือข่ายแรงงานนอกระบบได้เข้ายื่นหนังสือเสนอให้มีการผลักดันให้เพื่อขอให้มีการดำเนินการบังคับใช้ "พ.ร.บกองทุนการออมแห่งชาติพ.ศ.2554"ต่อหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ปีที่แล้ว จึงถือเป็นการทำงานเชิงรุกครั้งใหญ่ ครั้งสำคัญที่ มส.ผส.ในฐานะหน่วยงานหลักสนับสนุนทางวิชาการที่เราภูมิใจ” พญ.ลัดดากล่าว
ทั้งนี้รายละเอียด ของ พ.ร.บ.กอช. มติครม.กำหนดให้
1.1 กอช. รับโอนผู้ประกันตนและเงินของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 กรณีบำนาญชราภาพทั้งหมดที่แสดงความจำนงเป็นสมาชิกของ กอช. โดยให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปมีสิทธิเป็นสมาชิกต่อไปได้อีก 10 ปีนับแต่วันที่เป็นสมาชิก เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 ที่ให้ผู้ที่มีอายุมากที่สมัครในช่วงปีแรก ได้มีระยะเวลาในการออมมากขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาลจะไม่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนสำหรับเงินสะสมที่โอนมาดังกล่าว เนื่องจากได้รับเงินสมทบจากกองทุนประกันสังคมแล้ว
1.2 กำหนดให้ผู้สมัครสมาชิก กอช. รายใหม่ที่อายุ 50 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และสมัครภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับ มีสิทธิเป็นสมาชิกต่อไปได้อีก 10 ปีนับแต่วันที่เป็นสมาชิก เพื่อให้เป็นไปตามหลักการของ กอช. ดังกล่าวข้างต้น และเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ที่รับโอนจากกองทุนประกันสังคมและผู้ที่สมัครใหม่ ทั้งนี้ สมาชิก กอช. จะได้รับเงินสมทบเป็นอัตราส่วนตามช่วงอายุตามที่ได้กำหนดไว้
สำหรับร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 จำนวน 7 ฉบับ มีความสำคัญเพื่อขายความครอบคลุมและการบังคับใช้ที่ละเอียดขึ้นแต่ร่างกฎหมายที่สำคัญคือ กฎกระทรวงกำหนดอัตราการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบ พ.ศ. .... จะกำหนดให้สมาชิกจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนปีละไม่เกิน 13,200 บาท และรัฐบาลจ่ายเงินสมทบตามอายุสมาชิก ดังนี้
อายุสมาชิกไม่ต่ำกว่า 15 ปีแต่ไม่เกิน 30 ปี อัตราเงินสมทบต่อเงินสะสมร้อยละ 50 เงินสมทบสูงสุดที่จะกำหนดโดยกฎกระทรวง600 บาท/ปี
อายุสมาชิก มากกว่า 30 ปีแต่ไม่เกิน 50 ปี อัตราเงินสมทบต่อเงินสะสมร้อยละ 80 เงินสมทบสูงสุดที่จะกำหนดโดยกฎกระทรวง960 บาท/ปี และ
อายุสมาชิกที่มากกว่า 50 ปี แต่ไม่เกิน 60 ปี อัตราเงินสมทบต่อเงินสะสมร้อยละ 100 เงินสมทบสูงสุดที่จะกำหนดโดยกฎกระทรวง1,200 บาท/ปีโดยกฎหมายดังกล่าวจะช่วยกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณบำนาญให้เพียงพอกับการจ่ายบำนาญให้แก่สมาชิกได้จนถึงอายุครบ80ปีบริบูรณ์อีกด้วย