"น้อมจิตต์" รับศึก ชุดนักเรียน 6 พันล. เล็งขายออนไลน์
"น้อมจิตต์" ไม่ขึ้นราคา ชี้ตลาดเพิ่งเริ่มฟื้นพร้อมชูคุ้มค่ารับพฤติกรรมผู้ปกครองกำลังซื้อฝืด เดินหน้าลงทุนปรับปรุงเครื่องจักร เพิ่มคุณภาพสินค้า ลดต้นทุน แก้แรงงานฝีมือขาด เล็งเพิ่มช่องทางขายออนไลน์
นายอานนท์ จิตรมีศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้อมจิตต์ แมนนูแฟกเทอริ่ง จำกัด ผู้ผลิตเสื้อผ้าชุดนักเรียน "น้อมจิตต์" กล่าวว่า การเติบโตของตลาดชุดนักเรียนมูลค่าประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมาค่อนข้างชะลอตัวจากสภาพเศรษฐกิจและการเมือง อย่างไรก็ตาม คาดว่าปีนี้ตลาดจะเติบโตได้ประมาณ 5-10% จากสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว โดยน้อมจิตต์จะชูคุณภาพสินค้ากับความคุ้มค่าและคงราคาขายเท่าเดิม ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ชุดละประมาณ 200 บาทสำหรับเด็กอนุบาลหรือ 500 บาทสำหรับเด็กมัธยม เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมการซื้อของผู้ปกครองในปัจจุบันที่ยังคงมีปัญหา เรื่องสภาพกำลังซื้อ ซึ่งปีที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าผู้ปกครองเปลี่ยนจากการซื้อครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียว มาเป็นการทยอยซื้อ 2 ครั้ง รวมทั้งลดปริมาณการซื้อลง
ซึ่งการเติบโตของบริษัทในปีนี้จะสอดคล้องกับการเติบโตของตลาด จากการเพิ่มช่องทางขายโมเดิร์นเทรด การขายตรงผ่านโรงเรียนประมาณ 150 แห่ง และขายผ่านช็อปของน้อมจิตต์ 4 แห่ง นอกจากนี้เล็งเพิ่มช่องทางออนไลน์ในช่วง 2 ปีต่อจากนี้
ทั้งนี้ ได้เดินหน้าสร้างการจดจำแบรนด์อย่างต่อเนื่องผ่านโซเชียลมีเดีย ล่าสุดได้ทำกิจกรรมเพื่อสังคมบริจาคชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนผ่านออนไลน์ และในช่วงใกล้เปิดเทอมที่เป็นหน้าขาย ได้เตรียมกิจกรรมครบถ้วนทั้งในช่องทางอะโบฟเดอะไลน์และบีโลว์เดอะไลน์ รวมทั้งเตรียมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ จำหน่ายชุดนักเรียนในราคาพิเศษ ชิ้นละ 40 บาท ซึ่งจะได้เห็นแคมเปญดังกล่าวในช่วงเดือนเมษายนนี้
พร้อมกันนี้ยังคงใช้งบฯลงทุนสำหรับปรับปรุงเครื่องจักรในโรงงานทั้ง2 แห่งที่สามเสน และบางใหญ่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพดีขึ้น เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ช่วยลดต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3-5% ทั้งในส่วนของวัตถุดิบและค่าแรงงาน รวมทั้งช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานมีฝีมือที่ประสบอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับตลาดในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีก็เป็นโอกาสของบริษัทเช่นกันปัจจุบันมีทำตลาดในลาว กัมพูชา เมียนมาร์บ้าง แต่ยังอยู่ในกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ คาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะขยับมาเป็น 10%