"เหล้า-บุหรี่"แห่ปรับราคา รีดภาษีบาปเข้ากองทุนกีฬาฯ มีผลแล้ว บุหรี่ขึ้น1-2บาท เหล้า-เบียร์5-10บาท

"เหล้า-บุหรี่"แห่ปรับราคา รีดภาษีบาปเข้ากองทุนกีฬาฯ มีผลแล้ว บุหรี่ขึ้น1-2บาท เหล้า-เบียร์5-10บาท

"เหล้า-บุหรี่"แห่ปรับราคา รีดภาษีบาปเข้ากองทุนกีฬาฯ มีผลแล้ว บุหรี่ขึ้น1-2บาท เหล้า-เบียร์5-10บาท
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รีดภาษีบาปเข้ากองทุนพัฒนากีฬามีผลแล้ว ส่งผล"เหล้า-เบียร์-บุหรี่"ขยับยกแผง เล็งเก็บเพิ่มอีกรอบของกระทรวงศึกษาฯ โปะกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพการเรียนรู้

รีดภาษีบาปเข้ากองทุนพัฒนากีฬาฯ

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยถึงกรณีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การกีฬาแห่งประเทศไทย มีผลบังคับใช้ ต้องมีการจัดเก็บเงินจากสินค้าในกลุ่มสุรา เบียร์ ยาสูบ เข้ากองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติในสัดส่วน 2% จากฐานภาษีสรรพสามิตของสินค้าทั้ง 3 ชนิด ว่าการเก็บเงินเข้ากองทุนพัฒนากีฬาฯจะเริ่มทันทีวันที่ 27 มีนาคม เป็นการเก็บจากผู้ผลิตและผู้นำเข้าสินค้าดังกล่าว คาดว่าจะเป็นเงินปีละกว่า 3,000 ล้านบาท การเก็บเข้ากองทุนไม่กระทบต่อภาษีของกรมที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากการเก็บเงินเข้ากองทุนจะคิดจากฐานของภาษีบาปจัดเก็บได้แต่ละปีในอัตรา 2% เป็นการเก็บเพิ่มจากผู้ประกอบการ สมมุติว่าภาษีปีนี้เก็บได้ 100 บาท ต้องเก็บเงินเข้ากองทุนจากผู้ประกอบการ 2 บาท ส่วนจะมีผลทำให้สินค้าดังกล่าวปรับขึ้นหรือไม่นั้น คงเป็นเรื่องของผู้ผลิต ผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายต้องพิจารณาเอง เพราะสินค้าดังกล่าวไม่ได้เป็นสินค้าควบคุม เป็นอำนาจผู้ประกอบการพิจารณาเองว่าจะผลักภาระไปยังผู้บริโภคหรือไม่

"เหล้า-เบียร์-ยาสูบ"ขยับยกแผง

รายงานข่าวจากวงการค้าปลีกค้าส่งแจ้งว่า ขณะนี้ทั้งผู้ผลิตเหล้า บุหรี่ เบียร์ ในไทยและนำเข้าต่าง ระบุว่าจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบุหรี่นั้นทั้งผู้นำเข้าและผู้ผลิตในไทยเตรียมปรับขึ้นสินค้าวันที่ 27 มีนาคมนี้ อัตรา 2% ปัจจุบันบุหรี่ขายอยู่มีราคาเฉลี่ย 30-40 บาท น่าจะต้องปรับขึ้นประมาณ 80 สตางค์-1 บาทต่อซอง ส่วนเบียร์ขายเฉลี่ยอยู่ 50-60 บาทต่อกระป๋องหรือขวด ปรับขึ้น 1-1.20 บาทต่อขวดหรือกระป๋อง ส่วนเหล้าถ้ามีราคา 100 บาท ปรับขึ้น 2 บาท แต่ละยี่ห้ออาจขึ้นไม่เท่ากัน เพราะต้องพิจารณาถึงภาวะแข่งขันด้วย ถ้าไม่สามารถขึ้นได้ทันที อาจจะขึ้นในช่วงที่มีโอกาส เพราะผู้ผลิตเองไม่อยากแบกภาระตรงนี้ไว้ ปัจจุบันผู้ผลิตเหล้า บุหรี่ เบียร์ ส่งเงินเข้ากองทุน สสส.ปีละ 3,000 ล้านบาท และไทยพีบีเอสปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท ถ้ารวมกองทุนกีฬาฯอีก 3,000 ล้านบาท ทำให้ต้องส่งเงินประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี ถือเป็นเงินที่สูงมาก และไม่มั่นใจว่าเงินดังกล่าวนำไปใช้อย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์หรือไม่ เพราะบางองค์กรถ้าดูย้อนหลัง 5 ปี ได้รับเงินถึง 17,000 ล้านบาท แต่ยังตรวจสอบได้ยากว่านำไปใช้อะไรบ้าง และถูกต้องหรือไม่ และนอกจากกองทุนกีฬาฯแล้ว ทางกระทรวงศึกษาธิการเตรียมผลักดันร่าง พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพการเรียนรู้ ก่อนหน้านี้กองทุนดังกล่าวคาดว่าจะมีรายได้จากภาษีบาปประมาณ 1.5% คิดเป็นรายได้ 2,000-3,000 ล้านบาท

บุหรี่ขึ้นทันทีซองละ1-2บาท

นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ กรรมการอำนวยการ ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ กล่าวว่า โรงงานยาสูบประกาศขึ้นราคายาสูบไปแล้วประมาณ 1-2 บาทต่อซอง ใน 3 ยี่ห้อ มีผลวันที่ 27 มีนาคมทันที ปรับขึ้นกับกลุ่มเอเยนต์ และไม่สามารถขึ้นราคาได้ทั้งหมดทุกยี่ห้อ เพราะต้องคำนึงถึงการแข่งขันทางการตลาดด้วย คาดว่าจะมีผลกระทบต่อยอดขายลดลงประมาณ 30% ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า กระทบกำไรปีนี้ประมาณ 10-20% รู้สึกหนักใจมาก เพราะถ้ารวมการจ่ายเงินให้กองทุนกีฬาฯในครั้งนี้ โรงงานต้องจ่ายเงินให้กับกองทุนในลักษณะนี้ถึงปีละถึง 2,700 ล้านบาท แบ่งเป็นของ สสส. 1,000 ล้านบาท กองทุนกีฬาแห่งละ 1,000 ล้านบาท และไทยพีบีเอส 600-700 ล้านบาท

แหล่งข่าวจาก ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ผู้นำเข้าบุหรี่จากต่างประเทศ กล่าวว่า บริษัทมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าให้สอดคล้องกับเงินที่ต้องจ่ายเข้ากองทุนกีฬา ขณะนี้กำลังพิจารณาปรับขึ้น รวมถึงช่วงเวลาว่าจะเป็นเมื่อใด บริษัทมีความเห็นเหมือนกันกับกระทรวงการคลัง มองว่าไม่ควรเรียกเก็บเงินในลักษณะนี้เข้ากองทุนกีฬา เนื่องจากขัดต่อวินัยทางการเงินการคลัง การใช้เงินนอกงบประมาณทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเงินดังกล่าวถูกนำไปใช้อย่างถูกต้องหรือไม่

"ไฮเนเก้น"รอหารือก่อนปรับ

นายปริญ มาลากุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กร บริษัท ไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เบียร์ไฮเนเก้น กล่าวว่า การเก็บภาษีของแต่ละยี่ห้อหรือสินค้าจะเก็บไม่เหมือนกัน ดังนั้น ราคาขายปลีกก็จะปรับขึ้นไม่เท่ากัน แต่คาดว่าราคาขายปลีกจะปรับขึ้นไม่มาก เพราะเก็บเพิ่มแค่ 2% ของภาษีสรรพสามิตที่แต่ละบริษัทต้องจ่าย ราคาขายปลีกสุราเบียร์จะปรับขึ้นเมื่อไหร่ ยังตอบได้ไม่แน่ชัด บริษัทยังอยู่ในขั้นตอนการปรึกษากันภายใน สำหรับภาษีสรรพสามิตที่บริษัทจ่าย ตอนนี้ฐานการเก็บภาษีมาจากราคาขายส่งช่วงสุดท้าย ต้องไปดูว่าจะตั้งราคาขายส่งเท่าไหร่ เพื่อคำนวณภาษีที่ต้องจ่ายได้ถูก คงใช้เวลาสักพักหนึ่ง เพื่อเตรียมการ คาดว่าการปรับขึ้นราคาสุราเบียร์รอบนี้จะไม่กระทบกับปริมาณการขายมากนัก เพราะราคาไม่ได้ปรับขึ้นมาก

เหล้า-เบียร์ขึ้นขวดละ5-10บาท

นายธนากร คุปตจิตต์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) ในฐานะประธานสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประเทศไทย กล่าวว่า การเก็บภาษีดังกล่าวจะเรียกเก็บจากราคาขายส่งช่วงสุดท้าย แน่นอนว่าผู้ผลิตและผู้นำเข้าต้องผลักภาระภาษีดังกล่าวให้ผู้บริโภคเป็นผู้จ่ายบางส่วน คาดว่าราคาสุราและเบียร์จะปรับขึ้นเฉลี่ยขวดละ 5-10 บาท ส่วนยี่ห้อใดและประเภทใดจะปรับขึ้นเท่าใดนั้นไม่สามารถระบุได้ เพราะขึ้นอยู่กับอัตราภาษีสรรพสามิตที่สินค้าชนิดนั้นจ่ายอยู่ สมาคมยินดีปฏิบัติตามกฎหมาย แต่การที่ภาครัฐประกาศกฎหมายโดยไม่สอบถามความคิดเห็นจากภาคเอกชน บริษัทบางแห่งไม่ได้เตรียมแผนปรับโครงสร้างภาษีภายในไว้ ทำให้ต้องผลักภาระให้ผู้บริโภค หากยังมีกฎหมายในลักษณะนี้ออกมาซ้ำ เกรงว่าอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยจะมีศักยภาพแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้น้อย และกระทบต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวภายในประเทศไทย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าแอลกอฮอล์เป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้มีคู่แข่งนอกระบบ เช่น สินค้าหนีภาษี สินค้าปลอม สินค้าเลียนแบบเกิดขึ้นในระบบมากขึ้น ทางบริษัทเตรียมแผนปรับโครงสร้างภาษีของปี 2558 ไว้แล้ว คาดว่าจะปรับขึ้นราคาในปีนี้

นายฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างหารือการปรับโครงสร้างราคาเครื่องดื่ม คาดว่าจะได้รับความชัดเจนภายในวันที่ 30 มีนาคมนี้ การไม่ปรับราคาสินค้าขึ้นถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่อัตราการเก็บภาษีเข้ากองทุนที่ 2% นั้น หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าอัตราการเก็บจะสูงกว่า 2% เพราะมีสูตรการคิดคำนวณภาษีที่ซับซ้อน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook