ดีเดย์ขึ้นค่าแรง 300 บาท
1 เมษายน 2555 วันแรกของการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันในพื้นที่นำร่อง 7 จังหวัด
โดยปลัดกระทรวงแรงงานฯยืนยันว่าการปรับค่าแรงครั้งนี้มีผลดีมากกว่าผลเสีย ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ย้ำว่าธุรกิจเอสเอ็มอีจำนวนมากจะทยอยปิดกิจการจากผลกระทบในเรื่องนี้
นายแพทย์สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวถึง การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งเริ่มมีผลวันนี้เป็นวันแรก ว่า ทุกจังหวัดทั่วประเทศ จะขึ้นค่าจ้างร้อยละ 39.5 จากค่าจ้างขั้นต่ำเดิมที่ประกาศในแต่ละจังหวัด
ยกเว้น 7 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร และภูเก็ต ที่นำร่องขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้ เป็นการยกระดับรายได้ให้แก่แรงงาน ที่จะมีผลดีมากกว่าผลเสีย
เพราะขณะนี้ค่าครองชีพต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่ปรับขึ้นค่าแรงจะทำให้เงินหมุนเวียนในระบบขาดหายไป แต่หากแรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้น อำนาจการซื้อก็เพิ่มขึ้น การจับจ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจะซื้อง่ายขายคล่องขึ้น เม็ดเงินทั้งหมดจะกลับมายังผู้ประกอบการในที่สุด
อย่างไรก็ตามในช่วง เปลี่ยนผ่าน ผู้ประกอบการจะได้รับผลกระทบบ้าง แต่จะเป็นเพียงระยะสั้น หากผู้ประกอบการรายใดมีปัญหาเรื่องเงินทุน หรือไม่เข้าใจการปรับค่าจ้างในครั้งนี้
ขอรับคำปรึกษาได้ที่ศูนย์โปร่งใส กระทรวงแรงงาน หรือที่ สำนักงานแรงงานจังหวัดทั่วประเทศ ส่วนจังหวัดอื่นนอกเหนือจาก 7 จังหวัด ที่ขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาทไปแล้ว
รัฐบาลจะให้ปรับขึ้นพร้อมกันในวันที่ 1 มกราคม 2556 ซึ่งจะมีการติดตามผลการปรับค่าจ้างจาก 7 จังหวัดนำร่อง และดูภาวะผันผวนทางเศรษฐกิจอีกครั้ง
ขณะที่นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้เป็นการปรับขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและลูกจ้างโดยตรง โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีจะไม่สามารถอยู่ได้จนต้องเลิกกิจการ ทำให้ลูกจ้างต้องตกงานในที่สุด จึงเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการและผู้ใช้แรง
ซึ่งในช่วงเวลาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะเห็นผลกระทบชัดเจน โดยธุรกิจเอสเอ็มอีจำนวนมากจะหยุดประกอบกิจการ เพราะต้นทุนเพิ่มถึงร้อยละ 20-30 จากค่าแรงที่ปรับขึ้น
อีกทั้งมาตรการดูแลธุรกิจเอสเอ็มอีด้วยการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ร้อยละ 7 ไม่ได้ช่วยให้ได้รับผลกระทบน้อยลงเลย