"เครื่องสำอางจีน"บุกสำเพ็ง SMEsไทย ร้องไห้หนักมาก
จากการสำรวจตลาดสำเพ็งของ "ประชาชาติธุรกิจ" พบว่า เป็นสินค้าลอกเลียนแบบแบรนด์ดังเป็นส่วนใหญ่ ทั้งแบรนด์จากอเมริกา เกาหลี ญี่ปุ่น จำหน่ายในราคาหลักสิบถึงหลักร้อยบาท
อีกประเภทจะเป็นสินค้าที่ผลิตโดยประเทศจีนแต่ออกแบบบรรจุภัณฑ์ในลุกเกาหลี ทั้งการนำภาพศิลปินเกาหลีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ การพิมพ์ภาษาเกาหลีบนบรรจุภัณฑ์ และไม่ระบุสถานที่ผลิต
ด้านราคา บรัชออน 1 แพ็ก 21 ตลับ ราคาเพียง 240 บาท อายแชโดว์ ราคา 38-45 บาท/โหล แป้งตลับละ 30-60 บาท ลิปสติกราคาอยู่ที่ 149 บาท/โหล
แพ็กเกจจิ้งจะเน้นสีสันสดใส มีความแวววาว และมีเฉดสีให้เลือกจำนวนมาก นำไปทำราคาได้ไม่ต่ำกว่า 20% ต่อชิ้น
นางสาววรวรรณ แป้นสุวรรณ ผู้จัดการฝ่ายสินค้า บริษัท แวนน์ คอสเมติกส์ แอนด์ แลบอราทอรี จำกัด ผู้ผลิตเครื่องสำอางแบรนด์ ZENDORI ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากเจาะตลาดล่าง มีลูกค้าหลักจากกลุ่มสำเพ็ง ประตูน้ำ และยี่ปั๊วต่างจังหวัด กล่าวว่า ปัญหาสินค้าจีนบุกตลาดมีมาไม่ต่ำกว่า 3 ปีแล้ว โดยสินค้ากลุ่มแรกที่เข้ามาจะเป็นลิปสติก เพราะเป็นสินค้าที่ลูกค้าซื้อง่าย เน้นซื้อแบบฉาบฉวย ใช้ไม่ดีก็ทิ้งได้ ราคาขายส่งอยู่ที่แท่งละไม่ถึง 10 บาท ขณะที่ทางบริษัททำได้ถูกสุดที่ 10 บาท แม่ค้าจึงเลือกที่ทำราคาปลีกดีกว่า
ส่วนผู้ซื้อก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องคุณภาพมากนัก เนื่องจากอยากมีตัวเลือกบนโต๊ะเครื่องแป้งมากกว่า สินค้าที่สามารถทดแทนได้ในราคาต่ำกว่าก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ปีนี้ี้จีนเริ่มบุกสินค้ากลุ่มแป้งตลับ ซึ่งจีนทำราคาขายอยู่ที่ประมาณ 60 บาท ขณะที่ทางบริษัทอยู่ที่ราคา 80 บาท ซึ่งเป็นราคาที่จับต้องง่ายสำหรับผู้ซื้อ ทำราคาได้ง่ายสำหรับผู้ขาย และออกแบบแพ็กเกจจิ้งได้สวยงามแบบแฟนตาซี เรียกลูกค้าได้ดีกว่า
"ปีที่ผ่านมาแบรนด์ยอดตกไปกว่า 15% ทั้งจากปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาสินค้าจีน ทำให้เพิ่มช่องทางใหม่ คือ ร้านสะดวกซื้อ โมเดิร์นเทรด รวมทั้งทางออนไลน์ เน้นรักษาลูกค้าประจำ ไม่สู้ด้วยราคา แต่จะหันมาสร้างแบรนด์ ZENDORI ในด้านสินค้าคุณภาพดี ราคาย่อมเยา และเป็นแบรนด์ไทยที่เชื่อถือได้ผ่านมาตรฐานทั้ง อย. และ GMP"
"ที่ผ่านมามีลูกค้ารีวิวสินค้าผ่านบล็อก/เว็บไซต์ ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ต้องขยายช่องทางจำหน่ายให้เข้าถึงง่ายมากขึ้น"
ห้างหุ้นส่วนจำกัด รวมใจโปรดักส์ ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแบรนด์ "เภสัช" และ "สปริงซอง" กล่าวว่า สินค้าที่กระทบจะเป็นกลุ่มผู้ผลิตสินค้าคอสเมติกประเภทฉาบฉวย เช่น ลิปสติก น้ำยาทาเล็บ จะโดนตลาดจีนมากที่สุดเพราะสินค้าที่ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพ ราคาถูก 20-50 บาท ใช้ครั้งสองครั้งทิ้ง ส่วนสินค้าที่เป็นกลุ่มที่สัมผัสผิวหน้าโดยตรงผู้บริโภคยังคงเลือกสินค้าแบรนด์ที่ไว้ใจได้อยู่ ตรงนี้ถือว่าจีนยังแพ้ภัยตัวเอง
นายธนธรรศ สนธีระ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สยามเนเชอรัล โปรดักซ์ จำกัด ผู้ผลิตสินค้าเครื่องสำอางแบรนด์เนเจอร์ริช, สโนว์เกิร์ล กล่าวว่า สินค้าเครื่องสำอางจีนที่เข้ามาจะเป็นสินค้าคอสเมติกที่เน้นให้สีสัน เช่น บรัชออน, ลิปสติก, อายแชโดว์และอุปกรณ์ เช่น ขนตาปลอม, ที่ดัดขนตา, น้ำยาทาเล็บ เพราะเป็นสินค้าที่ตัดสินใจกันที่สีสันไม่ได้หวังผลเรื่องบำรุงอยู่แล้ว
ส่วนสกินแคร์ก็มีเข้ามาบ้าง แต่ไม่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเท่าที่ควร เพราะคุณภาพและความน่าเชื่อถือสู้สินค้าในบ้านเราไม่ได้
"ข้อได้เปรียบของสินค้าจากจีน คือ ต้นทุนสินค้าต่ำ สร้างกำไรสูง และมีบรรจุภัณฑ์สวยงาม ซึ่งผู้ประกอบการในไทยไม่สามารถผลิตสินค้าบวกบรรจุภัณฑ์ออกมาจำหน่ายในราคาเพียง 5-10 บาทได้ ขั้นต่ำยังอยู่ที่ราคาสูงกว่า 10 บาทไปจนถึง 20 บาท"
โดยสินค้าจีนเหล่านี้ผ่านเข้ามาทางประเทศเวียดนาม ลาว ผ่านชายแดน เป็นกองทัพมด แล้วมากระจายในตลาดค้าส่ง เช่น สำเพ็ง
ซึ่งเป็นแหล่งที่พ่อค้าแม่ค้าจากต่างจังหวัดจะมาเลือกสินค้าไปจำหน่ายยังตลาดนัด
"จีนเป็นประเทศผู้ส่งออกเคมีเครื่องสำอางรายใหญ่ไปยังต่างประเทศ สามารถผลิตได้ปริมาณมากแล้วราคาถูก ที่สำคัญคือ โรงงานของจีนออกแบบแพ็กเกจจิ้งได้สวยงาม มีสีสัน และรูปแบบขวด หรือตลับมีความหลากหลาย โดยเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานรับรอง แต่เน้นเคลมคุณสมบัติตามสูตร ซึ่งอาจมีอันตรายของโลหะหนักที่ปลอมปนเมื่อใช้เป็นเวลานาน หรือเข้าสู่ร่างกายก็เป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค" นายธนธรรศกล่าว
วันนี้หากผู้ประกอบการไทยยังเน้นการทำแบรนด์ราคาประหยัด อาจจะต้องปรับตัวมาสู่การสร้างแบรนด์ และเร่งพัฒนาสินค้าคุณภาพมากยิ่งขึ้น