เช็คลิสต์กลุ่มทุนไทยหอบเงิน"หมื่นล้าน"ซื้อสโมสรดังยุโรป

ล่าสุด สกาย สปอร์ต อิตาเลีย สื่อดังยุโรป รายงานข่าว บี-เตชะอุบล นักธุรกิจชาวไทย เตรียมซื้อหุ้นสโมสร "ปิศาจแดงดำ - เอซี มิลาน" ยักษ์ใหญ่ กัลโช่ เซเรีย อา ด้วยเงิน 780 ล้านยูโร (ราว 31,200 ล้านบาท) เบื้องต้น ได้ทำข้อตกลงกับ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ประธานใหญ่แล้ว และจะเริ่มถือหุ้น 20% ก่อนเพิ่มเป็น 65 % ภายใน 12 เดือนเพื่อรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ

บี-เตชะอุบล นัธุรกิจมหาเศรษฐีชาวไทย มีกำหนดจะเดินทางไปยังอิตาลีในช่วงเดือนนี้ เพื่อทำการเซ็นสัญญา และเปิดตัวอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ได้ทำข้อตกลงเบื้องต้นกับทาง แบร์ลุสโคนี่ เจ้าของสโมสรเอซี มิลานคนปัจจุบัน ในการครองหุ้น 20% และจะสามารถเพิ่มเป็น 65% ใน 12 เดือน เพื่อให้กลายเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์

ทั้งนี้ ซิลวีโอ แบร์ลุสโคนี่ ยังมีสิทธิเปลี่ยนใจไม่ขายได้ แต่ในข้อตกลงระบุไว้ว่า ประธานใหญ่ มิลาน จะต้องเสียค่าชดเชยจำนวนมหาศาล หากเปลี่ยนใจ ในส่วนของราคาสโมสร มิลาน ถูกตั้งไว้ที่ 1.2 พันล้านยูโร (48,000 ล้านบาท)

บี-เตชะอุบล ถือเป็นนักธุรกิจไทยกลุ่มที่ 5 ซึ่งเข้าไปถือครองหุ้นสโมสรดังของยุโรป โดยจะไล่เลียงมาตั้งแต่ยุคบุกเบิกเป็นกลุ่มแรกคือ กลุ่มทุนไทยเริ่มเข้าไปซื้อสโมสรฟุตบอลกลุ่มแรกก็คือยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าถือครองแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างเหนือความคาดหมายเมื่อปี 2007 การเข้าเทกโอเวอร์และเปลี่ยนมือไปอย่างรวดเร็วน่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงแก่สโมสรเรือใบสีฟ้าทั้งความสำเร็จและด้านการเงินจากการเข้ามาของมหาเศรษฐีจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยน่าจะได้อะไรกลับไปบ้างจากการบริหารช่วงสั้นๆ

กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มทุนคิง เพาเวอร์ นักธุรกิจและนักบริหารจากประเทศไทย เข้าไปซื้อ "เลสเตอร์ ซิตี้" โดยสามารถพาเลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์เดอะ แชมเปี้ยนชิพและเลื่อนชั้นมาสู่ลีกสูงสุดหลังบริหารทีมไม่ถึง 5 ปี

กลุ่มที่ 3 คือ การเข้าบริหารสโมสรที่มีชื่อเสียงในอังกฤษอย่าง "เรดดิ้ง" ในลีกแชมเปี้ยนชิพที่ "คุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์" รวมถึง นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา เข้าถือหุ้น

กลุ่มที่ 4 นายเดชพล จันศิริ นักธุรกิจไทย ซึ่งเป็นน้องชายของราชาทูน่า "ธีรพงศ์ จันศิริ" ผู้บริหารไทย ยูเนี่ยน โฟรเซ่น กรุ๊ป นายเดชพลเข้าไปถือครอง สโมสรล่าสุดอย่างเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ อีกหนึ่งราย

ถือได้ว่ากลุ่มทุนไทยนับเป็นกลุ่มทุนที่มีความมั่งคั่งมากทีเดียวในการหอบเงินหมื่นล้านไปซื้อสโมสรดังของยุโรปมาครอบครองแต่งานนี้ต้องดูกันต่อไปว่าสิ่งที่ได้กลับมาจะคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปหรือไม่แต่เท่าที่ผ่านมาผลเป็นบวกมาตลอดและสโมสรก็ยังเนื้อหอม ขายต่อกันเป็นทอดๆอยู่เรื่อยๆ