ควรรู้อะไรบ้าง ก่อนซื้อ "หุ้นกู้-ตั๋วแลกเงิน"

ควรรู้อะไรบ้าง ก่อนซื้อ "หุ้นกู้-ตั๋วแลกเงิน"

ควรรู้อะไรบ้าง ก่อนซื้อ "หุ้นกู้-ตั๋วแลกเงิน"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คอลัมน์ สถานีลงทุน โดย อภิรติ ชัยรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บล.เอเซีย เวลท์


เมื่อหลายวันก่อน มีลูกค้ามาสอบถามเกี่ยวกับตั๋วแลกเงินหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ตั๋ว B/E ของบริษัทมหาชนที่มีชื่อเสียง อายุของตั๋ว 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 4.5% ต่อปี ลูกค้าเห็นว่าน่าสนใจและอยากลงทุน เพราะช่วงนี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารไม่ปรับขึ้น กองทุน Term Fund ก็ให้ผลตอบแทนที่ลดลง หลังจาก กนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่แล้ว จึงขอเอามาเล่าเป็นแนวทางการเลือกของผู้สนใจลงทุนตราสารหนี้นะคะ

ปัจจุบันบริษัทจำกัด บริษัทมหาชน หรือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯหลายแห่งที่กำลังขยายกิจการ หรือต้องการบริหารกระแสเงินสด บริษัทจะนิยมออกตราสารหนี้ เช่น ตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ เพื่อระดมเงินลงทุน มีการออกตราสารหนี้และเสนอขายได้ 2 วิธี คือ การเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering) และการเสนอขายแก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ซึ่งในวิธีที่ 2 จะเสนอขายให้ผู้ลงทุนสถาบัน หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ (HNW) และมีมูลค่าหน้าตั๋วไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท และออกตั๋วได้ไม่เกิน 10 ฉบับ หรือถ้าเป็นหุ้นกู้ จะเสนอขายได้ไม่เกิน 10 ราย

การเลือกลงทุนในตั๋วแลกเงินหรือหุ้นกู้นั้น ขั้นแรกผู้ลงทุนควรรู้จักตราสารหนี้นั้น ๆ ก่อน อย่างน้อยต้องรู้ประเภทของตราสารหนี้ เช่น หุ้นกู้ หรือตั๋ว B/E อายุของตราสารหนี้ เช่น 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 2 ปี อัตราดอกเบี้ยต่อปี เช่น 4% ต่ออายุการลงทุน หรือ 4% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยแบบคงที่หรือจ่ายแบบลอยตัว จำนวนเงินขั้นต่ำที่สามารถลงทุนได้ เช่น ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท สิทธิ์ในการเรียกร้องและเงื่อนไขการชำระเงิน เช่น เป็นตราสารหนี้มีประกันหรือไม่มีประกัน เป็นต้น และวงเงินทั้งหมดที่ออกตราสารหนี้

ขั้นที่ 2 ผู้ลงทุนควรทราบข้อมูลของบริษัทที่ออกตราสารหนี้ ซึ่งมีหลัก 4 เรื่องที่สำคัญ คือ การดำเนินธุรกิจ ผู้บริหารของบริษัท ฐานะการเงิน และแผนการในอนาคต เพื่อพิจารณาว่า บริษัทจะสามารถชำระดอกเบี้ยและเงินต้นให้เราได้เมื่อครบอายุตราสารหนี้

เราควรเทียบผลการดำเนินงานของบริษัทกับอุตสาหกรรมของธุรกิจประเภทนั้นด้วย บริษัทที่น่าสนใจควรดำเนินกิจการมาแล้วอย่างน้อย 3 ปี หรือถ้าตั้งใหม่ ควรมีที่มาของรายได้ชัดเจน บริษัทควรมีความสามารถในการแข่งขันหรือมีคู่แข่งน้อย และเป็นประเภทธุรกิจที่มีแนวโน้มในการเจริญเติบโตหรือได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น ธุรกิจด้าน Logistic ธุรกิจด้าน Infrastructure หรือธุรกิจด้านการเงิน เช่น Leasing เป็นต้น

คณะผู้บริหารของบริษัทเป็นประเด็นหนึ่งที่เราควรพิจารณา ประสบการณ์ทำงานและประวัติของผู้บริหาร รวมทั้งการไม่มีเรื่องฉ้อโกงหรือผิดนัดชำระหนี้ ช่วยให้เราเชื่อมั่นว่า บริษัทจะสามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยดี งบการเงินของบริษัท ควรวิเคราะห์ย้อนหลังประมาณ 3 ปี เราจะได้เห็นถึงการเจริญเติบโตของรายได้ ค่าใช้จ่าย และการบริหารจัดการ รวมทั้งความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ซึ่งจะมีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ ส่วนแผนการในอนาคตของบริษัทเป็นเข็มทิศชี้วัดทิศทางและการเจริญเติบโตของบริษัท

ผู้ลงทุนควรนำข้อมูลในขั้นที่1และขั้น 2 มาประกอบกันเพื่อพิจารณาตัดสินใจลงทุน ผู้ลงทุนควรเทียบข้อมูลของตราสารหนี้ว่าเหมาะสมกับการลงทุนของตนเองและความเสี่ยงที่ตนรับได้หรือไม่ นอกจากนี้ เราควรมีตัวเลขผลตอบแทนที่คาดหวังในใจว่าต้องการสักกี่เปอร์เซ็นต์ ตราสารหนี้ของบริษัทจำกัดทั่วไปจะให้ดอกเบี้ยสูงกว่าตราสารหนี้ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือตราสารหนี้ที่มีประกัน จะให้ดอกเบี้ยต่ำตามไปด้วย

อีกสิ่งที่เราควรทราบคือ ดอกเบี้ยที่ผู้ลงทุนได้รับทุกครั้งจะต้องเสียภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 15% ด้วย

วิธีการจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเป็นอีกเรื่องที่เราควรทราบ ตั๋วแลกเงินหรือหุ้นกู้ระยะสั้นที่อายุน้อยกว่า 1 ปี ส่วนใหญ่หักผลตอบแทนให้ผู้ลงทุนไว้เลยตั้งแต่วันที่ลงทุน เช่น ลงทุน 10 ล้านบาทในตั๋วแลกเงินอายุ 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ดอกเบี้ยที่จะได้รับ 250,000 บาท หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 15% คิดเป็น 37,500 บาท ผู้ลงทุนจะใช้เงินลงทุนในตั๋วแลกเงิน 10,000,000-250,000+37,500 = 9,787,500 บาท เมื่อครบอายุ 6 เดือน ผู้ลงทุนจะได้เงินคืนมาทั้งหมด 10,000,000 บาท แบบนี้เรียกว่าการจ่ายดอกเบี้ยแบบ Discount

อีกแบบหนึ่งคือ การจ่ายดอกเบี้ยเมื่อครบอายุตราสารหนี้ จากตัวอย่างเดียวกัน ผู้ลงทุนจะจ่ายเงิน 10,000,000 บาทในวันแรกที่ลงทุน เมื่อครบอายุตราสาร ก็จะได้รับเงินต้น 10,000,000 บาท กับดอกเบี้ยอีก 250,000-37,500 = 212,500 บาท ถ้าหุ้นกู้อายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่จะจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือนหรือ 6 เดือน เมื่อครบอายุตราสารก็จะจ่ายเงินต้นกับดอกเบี้ยงวดสุดท้าย

ช่วงนี้มีหุ้นกู้และตั๋วแลกเงินออกมาให้เลือกมากมายแนวทางที่แนะนำคงช่วยในการพิจารณาเลือกลงทุนได้นะคะการลงทุนมีความเสี่ยง เราจะเลือกอย่างชาญฉลาดเพื่อลดความเสี่ยงและได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในทุกช่วงจังหวะของเศรษฐกิจค่ะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook