"สมหมาย"รับลูกปลดล็อกรถคันแรก 3ปีขายได้-ค่ายรถเฮ!ลุ้นตลาดฟื้น

"สมหมาย"รับลูกปลดล็อกรถคันแรก 3ปีขายได้-ค่ายรถเฮ!ลุ้นตลาดฟื้น

"สมหมาย"รับลูกปลดล็อกรถคันแรก 3ปีขายได้-ค่ายรถเฮ!ลุ้นตลาดฟื้น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"สมหมาย ภาษี" รับหลักการ "ปลดล็อกรถคันแรก" ลดเวลาถือครองจาก 5 ปีเหลือ 3 ปีตามข้อเสนอเอกชน เผยมีรถคันแรกครบ 3 ปีแล้ว 3.9 แสนคัน ผู้ประกอบการหวังช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์คึกคักอีกครั้ง สรรพสามิตชงปิดโครงการ ก.ย.นี้ ชี้ยังมีผู้ขอใช้สิทธิ์ค้าง 1.1 แสนราย


จากที่หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 2-5 กรกฎาคม 2558 ได้นำเสนอข่าว "ชงปลดล็อกรถคันแรกเหลือ 3 ปีดันรถใหม่บูม" เพื่อแก้ปัญหาตลาดรถยนต์ในประเทศที่ยังทรุดต่อเนื่อง โดยหวังว่าหากลดเวลาถือครองจะทำให้มีโอกาสที่รถคันแรกจะไหลเข้าสู่ตลาดเป็นรถมือสอง และผู้ที่หลุดเงื่อนไขการครอบครองรถคันแรกจะมีโอกาสหาซื้อรถยนต์คันใหม่ ทำให้ตลาดไม่หยุดนิ่งอย่างปัจจุบัน

ล่าสุด นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากที่ภาคเอกชนเสนอให้ปลดล็อกการถือครองสิทธิ์ (ห้ามขาย) รถคันแรกจากเดิม 5 ปีเหลือแค่ 3 ปีนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณา ซึ่งกระทรวงการคลังเห็นด้วยในหลักการ แต่จะต้องหารือในรายละเอียดกันให้ชัดเจนก่อน

"ต้องไปดูกันให้ละเอียดอีกที แต่หลักการก็ให้แล้ว" นายสมหมายกล่าว

ครบ 3 ปีขายโอนได้ 3.9 แสนคัน

รายงานข่าวจากกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่า ข้อมูลโครงการรถยนต์คันแรกจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2558 พบว่า ตั้งแต่ดำเนินโครงการมีผู้ได้รับสิทธิ์ทั้งสิ้น 1,234,986 ราย คิดเป็นเงิน 91,140 ล้านบาท จากจำนวนผู้ขอใช้สิทธิ์ทั้งสิ้น 1,259,113 ราย คิดเป็นเงิน 92,812 ล้านบาทโดยมีการส่งมอบรถยนต์แล้ว 1,123,451 ราย และเหลือผู้ยังไม่รับมอบรถยนต์อีก 111,535 ราย หรือ 9.03% ของจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์

ขณะที่มีผู้ได้รับเงินคืนตามสิทธิ์แล้วจำนวน 1,101,557 ราย คิดเป็นเงิน 81,179 ล้านบาท ซึ่งครั้งล่าสุดจ่ายไปเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2558 ทำให้ในปี 2558 ยังเหลือต้องจ่ายเงินอีก 229.99 ล้านบาท จากที่ตั้งงบประมาณไว้ 1,644 ล้านบาท

สำหรับผู้ที่ครอบครองรถครบ 3 ปี คือรับมอบรถยนต์ตั้งแต่ 16 ก.ย. 2554-20 ก.ค. 2558 มีจำนวน 395,871 ราย

ยกเลิกสิทธิ์คืนเงิน 5 พันราย

ทั้งนี้ที่ผ่านมา ผู้ได้รับสิทธิ์ที่ต้องการขายเปลี่ยนมือรถยนต์ แต่ยังครอบครองรถไม่ถึง 5 ปี จะต้องนำเงินมาคืนเพื่อยกเลิกการใช้สิทธิ์ เพราะหากครอบครองรถไม่ครบ 5 ปี จะปลดล็อกทะเบียนเพื่อโอนเปลี่ยนมือไม่ได้ โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2558 พบว่ามีผู้ขอใช้สิทธิ์นำเงินมาคืนเพื่อยกเลิกการขอใช้สิทธิ์ จำนวน 4,942 ราย ขณะที่กรมสรรพสามิตได้มีการติดตามเรียกเงินคืนจากผู้ที่ขาดคุณสมบัติ จำนวน 4,337 ราย

โดยได้มีหนังสือถึงผู้ขอใช้สิทธิ์ที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขแล้ว พร้อมกับมีหนังสือถึงกรมบัญชีกลางกรณีผู้ขอใช้สิทธิ์ขาดคุณสมบัติ แต่รับเงินไปแล้วซึ่งจะขอผ่อนชำระคืนจำนวน 88 ราย ทั้งส่งเอกสารให้พิจารณาฟ้องผู้ขอใช้สิทธิ์ที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขทั้งสิ้น 836 ราย

อย่างไรก็ดี ในเดือน มิ.ย. 2558 ยังมีผู้ที่รับมอบรถยนต์เพิ่มเติมอีก 4 ราย จากเดิม พ.ค.ที่รับมอบ 2 ราย

สรรพสามิตเสนอปิดโครงการ

นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ทางกรมสรรพสามิตกำลังหารือกันว่า ควรจะเสนอปิดโครงการเนื่องจากระยะเวลาเนิ่นนานแล้ว เหลือผู้ที่รับมอบรถยนต์เดือนละไม่กี่ราย แม้ว่ากรมสรรพสามิตจะมีหนังสือแจ้งไปแล้วก็ตาม โดยคาดว่าจะเสนอให้ฝ่ายนโยบายพิจารณาปิดโครงการภายใน 1-2 เดือนนี้ ซึ่งจะต้องมีการนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติด้วย เนื่องจากเป็นโครงการที่ ครม.เห็นชอบไว้

"ถ้าเราปิดโครงการในวันที่ 30 ก.ย. 2558 ผู้ได้รับสิทธิ์ก็ยังสามารถไปรับเงินได้ภายในไม่เกินวันที่ 30 ก.ย. 2559" นายสมชายกล่าว

ส่วนข้อเสนอให้ปรับลดเงื่อนไขถือครองรถยนต์จาก 5 ปีเหลือ 3 ปีนั้น อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวว่า ยังไม่เห็นเรื่อง อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงต้องหารือกับฝ่ายนโยบายก่อน

ด้านนายอำนวย ปรีมนวงศ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายได้ กล่าวว่า แนวคิดขณะนี้คือทางกรมสรรพสามิตต้องการปิดโครงการรถยนต์คันแรกให้เร็วขึ้น หรือให้จบภายในสิ้นปีงบประมาณนี้ เพราะปัจจุบันผู้ได้สิทธิ์ทยอยมาใช้สิทธิ์ตามจังหวะที่ได้รับมอบรถยนต์จากผู้ผลิต ทำให้โครงการยืดเยื้อไม่จบเสียที

"ตอนนี้เหลือแสนกว่ารายยังไม่มารับ กำลังรอให้กรมสรรพสามิตทำข้อมูลให้ชัดเจนอีกที" นายอำนวยกล่าวและว่า

ส่วนประเด็นที่ผู้ประกอบการผลิตรถยนต์เสนอให้ปรับเงื่อนไขการถือครองรถยนต์คันแรกเหลือ 3 ปี นายอำนวยกล่าวว่า ประเด็นนี้ยังไม่มีการเสนอมาแต่อย่างใด

ขณะที่กระทรวงการคลังรายงานผลการจัดเก็บภาษีรถยนต์ในปีงบประมาณ 2558 ในช่วง 8 เดือนแรกปีงบประมาณ (ถึงสิ้น พ.ค. 2558) จัดเก็บได้ 55,339 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่เก็บได้ 67,759 ล้านบาท หรือลดลงไป 18.3% และต่ำกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ที่ 70,454 ล้านบาท ถึง 21.5%

กระตุ้นตลาดกลับมาคึกคัก

ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดรถยนต์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลพร้อมใจแก้ปัญหาปลดล็อกรถคันแรกเหลือ 3 ปี ถือเป็นไอเดียที่ดีมาก ๆ นับว่ารัฐบาลมองภาพอุตสาหกรรมรถยนต์ค่อนข้างทะลุ โครงการรถคันแรกที่ผ่านมากระทบกระเทือนต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ค่อนข้างเยอะ เพราะนอกจากจะทำให้ตลาดบิดเบือนแล้ว ยังดึงคนที่ไม่มีความพร้อมใช้รถมาเป็นเจ้าของรถ อีกอย่างคือคนที่มีความสามารถเปลี่ยนรถ ใช้รถคันแรกมาได้สักพัก ไม่พอใจทั้งขนาดเครื่องยนต์ รูปลักษณ์ อยากเปลี่ยนให้ใหญ่ขึ้นก็ทำไม่ได้

"ผมเห็นด้วย 100% ถ้าปลดล็อกตรงนี้ได้จะขับเคลื่อนตลาดรถยนต์ไปอีกมาก เรียกว่าครบวงจรเลย รถคันแรกที่ขายเป็นรถมือสองก็จะไหลเข้าตลาด ทำให้มีรถหมุนเวียนในตลาดรถมือสอง ซึ่งผมมองว่าน่าจะทำให้ตลาดขยายตัวมากกว่า 10-15% ส่วนรถใหม่ก็ขายได้มากขึ้น"

เช่นเดียวกับนายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า สภาพตลาดรถยนต์ในช่วงที่ผ่านมา ลูกค้าไม่ตอบรับใด ๆ แม้ว่าค่ายรถยนต์จะส่งรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดต่อเนื่อง 5 เดือนตลาดหดตัวจากปีที่แล้วกว่า 15% ดังนั้นปัญหานี้รัฐบาลต้องทำอย่างเร่งด่วน รวมทั้งปัญหาสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ

หั่นเป้าผลิตเหลือ 2.05 ล้านคัน

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ได้มีการปรับลดคาดการณ์ยอดผลิตรถยนต์ปีนี้เป็น 2.05 ล้านคัน จากเดิม 2.15 ล้านคัน หลังยอดขายรถยนต์ภายในประเทศทั้งระบบในเดือน มิ.ย. 58 อยู่ที่ 60,217 คัน ลดลง 18.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายรถยนต์ในประเทศปรับลดลงมาตั้งแต่เดือน พ.ค. 56 หลังการส่งมอบรถยนต์ในโครงการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกหมดลง

นอกจากนี้ ส.อ.ท.ยังปรับลดคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ในประเทศในปี"58 ลงเหลือ 8.5 แสนคัน จากเดิมคาดไว้ 9.5 แสนคัน และคงคาดการณ์ส่งออกรถยนต์ในปีนี้ไว้ที่ 1.2 ล้านคัน โดยยอดส่งออกรถยนต์ในเดือน มิ.ย. 58 อยู่ที่ 76,774 คัน ลดลง 26.14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมูลค่าส่งออก 35,150.22 ล้านบาท ลดลง 29.21%

ขณะที่ในช่วง 6 เดือนแรก ยอดส่งออกรวม 576,073 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2.86% คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 264,686.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.03%

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook