ทำไมต้องรอซื้อปีหน้า
คอลัมน์ชั้น 5 ประชาชาติ โดย อมร พวงงาม
ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สำหรับการใช้โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ซึ่งกระทรวงการคลังกำหนดเริ่มใช้ต้นปี 2559
สิ่งที่แตกต่างระหว่างการคำนวณภาษีแบบเดิมกับแบบใหม่คือ หลักคิดที่เป็นสากลมากขึ้น นั่นคือ ของใหม่พิจารณาจากการปล่อยของเสีย (CO2) ของรถยนต์แต่ละคัน
ใครปล่อยมาก เสียมาก
ใครปล่อยน้อย ก็เสียภาษีถูกลง
ในขณะที่ของเก่าคิดจากปริมาตรกระบอกสูบและแบ่งเป็นประเภทรถยนต์ นอกจากจะไม่มีความเป็นสากลแล้วยังเอื้อประโยชน์ให้กับบางกลุ่มบางก้อนด้วย
ผมคนนึงละครับ ที่ยกนิ้วให้กับการคิดคำนวณอัตราภาษีสรรพสามิตแบบใหม่ แต่ก็ยังเสียดายอยู่นิดครับที่แกปห่างหรือขั้นบันไดของอัตราภาษีใหม่น่าจะซอยให้ละเอียดมากกว่านี้อีกหน่อย เพื่อให้ค่ายรถยนต์ใช้ความพยายามกันอย่างเต็มที่
ยกตัวอย่างง่าย ๆ นะครับ
ปล่อย CO2 เกิน 100 กรัมต่อ กม. เสีย 10 บาท
ปล่อย CO2 เกิน 200 กรัมต่อ กม. เสีย 20 บาท
ช่องว่างระหว่าง 100 กรัมถึง 200 กรัมก็ควรจะมีอัตราให้เขาด้วย
ทุกแรงที่ออกไปแต่ละกรัมต่อ กม.จะได้เกิดประโยชน์
ทีนี้ลองดูว่าโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ตัวใหม่กระทบกับอะไรบ้าง ?
โครงสร้างหลักกำหนดอีโคคาร์ เดิมเสีย 17% ถ้าเป็นภาษีใหม่ปล่อยค่าไอเสียไม่เกิน 100 กรัม/กม. เสียภาษีต่ำสุด 12%
รถยนต์นั่งหรือเก๋ง เดิมเสีย 25-35% (ตามปริมาตรกระบอกสูบ)
หากปล่อยค่าไอเสียไม่เกิน 100 กรัม/กม. เสีย 10%
ปล่อยค่าไอเสียไม่เกิน 150 กรัม/กม. เสีย 30%
และถ้าปล่อยมากกว่านั้นเสีย 35-50%
ปิกอัพ เดิมเสีย 3% ภาษีใหม่ปล่อยค่าไอเสียไม่เกิน 200 กรัม/กม. เพิ่มเป็น 5%
พีพีวีหรือปิกอัพดัดแปลง เดิมเสีย 20% ภาษีใหม่เสีย 25%
ฟันธงเลยครับ อีโคคาร์ไม่เปลี่ยนแปลง อาจจะขยับนิดหน่อย
เก๋งเล็ก-กลางขยับขึ้นอีกหมื่นกว่าบาท
เก๋งใหญ่ เปลี่ยนแปลงราว ๆ 2 หมื่นบาท
ปิกอัพเพิ่มขึ้นหมื่นนิด ๆ
แต่ถ้าเป็นดับเบิลแค็บประมาณ 2 หมื่นบาท
หนักสุดก็จะเป็นเอสยูวีกับพีพีวี (ปิกอัพดัดแปลง)
เอสยูวีขยับขึ้นราว ๆ 7 หมื่นถึงแสนบาท
พีพีวีหนักหน่อย แสนถึงแสนสองหมื่นบาท
เห็นราคาที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงแบบนี้ มีคำถามมากมายว่า ก่อนการเปลี่ยนแปลง อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ?
ทุกสายตาคงจับจ้องไปที่ 2 กลุ่มหลัก ๆ กลุ่มแรก ก็คือ "ผู้ผลิต" กลุ่มที่สอง "คนซื้อรถ"
กลุ่มแรก ถ้าคิดแบบไม่ซับซ้อน ทุกค่ายที่รู้ว่า ต้นทุนตัวเองจะขยับขึ้น ทางออกก็คือ ต้องเร่งผลิตตุนเอาไว้ก่อน
แต่มุมนี้ คงทำได้ไม่เยอะ เพราะการผลิตรถยนต์แต่ละคันใช้เงินจำนวนไม่น้อยทีเดียว แถมยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย ตั้งแต่ขยายออร์เดอร์ชิ้นส่วน เพิ่มจำนวนพนักงาน หรือโอที ผลิตเสร็จแล้ว จะเอาไปเก็บที่ไหน ?
หรือจะผลักไปไว้กับดีลเลอร์
ดีลเลอร์พร้อมแค่ไหน ?
ถ้าดีลเลอร์รับได้ก็คงต้องมีอะไรช่วยเหลือกันอีก ทุกขั้นตอนล้วนละเอียดอ่อนพอสมควร
ส่วนมุมคนซื้อรถ กลุ่มนี้ดูไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ ถ้ารู้ว่าราคาจะเปลี่ยนแปลงเยอะ จะรอให้ราคาใหม่มาถึงทำไม รีบซื้อซะก่อนไม่ดีกว่าหรือ ซื้อในจังหวะที่ตลาดอยู่ในช่วงขาลงหรือตลาดกำลังเป็นของผู้ซื้อ ผมว่า ดีกว่าแน่นอน
ตอนนี้เดินเข้าโชว์รูมเซลส์ขายรถทุกยี่ห้อ แทบจะ "อุ้ม" มีโปรฯดี ๆ ลด-แลก-แจก-แถม เท่าไหร่จัดให้หมด
ถ้ามีใจอยากซื้อหรือมีความจำเป็นต้องใช้รถ รีบตัดสินใจเลยครับ
ผมเชื่อว่า ได้เงื่อนไขที่น่าพอใจแน่นอน
นอกจากเป็นการช่วยพยุงตลาดรถยนต์ในช่วงปลายปีแล้ว ยังกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย
หรือถ้าใครกังวลเรื่องซื้อรถปลายปี ใช้รถแค่ 1-2 เดือนจะเก่าไปอีกปี
ก็ใช้ป้ายแดงลากยาวไปจนทะเบียนปีหน้า ก็คงไม่มีใครว่า
ผมเองก็ไม่เห็นเหตุผล
ทำไมต้องรอไปซื้อปีหน้า