วิธีจัดการเงินเดือนในยุคออนไลน์

วิธีจัดการเงินเดือนในยุคออนไลน์

วิธีจัดการเงินเดือนในยุคออนไลน์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อภินิหารเงินออม

สาวหมวยอารมณ์ดี รักงานเขียนและการวางแผนการเงิน มีฝันที่อยากจะสร้างแรงบันดาลใจให้คนทำงานรักการออม


เคยถามตัวเองไหมว่า “เราจะจัดการเงินเดือนอย่างไรดีน๊าาาาาา”

ตอนเริ่มทำงานใหม่ๆเราก็จัดการเงินตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน อืมมมมนะ ก็มหาลัยสอนแต่วิธีหาเงินนี่หน่า เราทำงานที่แรกในบริษัทญี่ปุ่น การเดินทางก็แสนสบายเพราะมีรถบัสแอร์เย็นฉ่ำมารับส่งตลอดเช้าและเย็น มีชุดพนักงานทำให้ประหยัดไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าแต่งตัว

ส่วนรายจ่ายก็มีแค่ค่ากินในแต่ละมื้อเท่านั้น อาหารราคาพนักงานขายถูกเวอร์ๆ แล้วก็มีเงินบางส่วนส่งให้แม่บ้าง เรามีรายจ่ายทั่วไปน้อยมาก เงินที่เหลือในแต่ละเดือนไม่รู้ว่าจะทำยังไงก็เก็บไว้ในบัญชีเงินเดือนนั่นแหละ ช่วงเวลานั้นก็คิดแต่เรื่องงานอย่างเดียว คิดว่าทำงานไปสักพักเดี๋ยวก็คงรู้เองว่าต้องจัดการเงินอย่างไร

หลายปีผ่านไปทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ^^!!

ถ้าปล่อยไว้เรื่อยๆแบบนี้มันคงไม่ดีแน่ๆ เราก็เริ่มถาม Google ว่าควรจะทำยังไงกับรายได้ของเรา จนมารู้จักหลักสูตรนักวางแผนการเงิน (http://tfpa.or.th/2014/index.php) จึงทำให้รู้ว่าการดูแลเงินให้รอบด้านนั้นต้องควรงมีทั้งส่วนการวางแผนภาษี การลงทุน ประกันชีวิต เกษียณและมรดก ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปอ่านในลิงค์ของสมาคมได้นะจ๊ะ

จากความรู้ที่เรียนมาผสมกับประสบการณ์ตั้งระบบการออมให้ตนเอง เรามองว่าน่าจะพอเป็นประโยชน์ให้ผู้อ่านนำมาปรับใช้ได้

ไอเดียหลัก คือ การออมก่อนใช้ โดยตั้งระบบอัตโนมัติให้เงินไปเก็บตามเป้าหมายทันทีตั้งแต่วันที่เงินเดือนออก สุดท้ายเราก็จะเห็นเพียงยอดเงินที่สามารถใช้ได้ ในแต่ละเดือนเท่านั้น

วิธีจัดการเงินเดือนในยุคออนไลน์

ช่วงเริ่มต้นอาจจะยุ่งยากนิดนึงเพราะต้องจัดการเซ็นเอกสาร หลังจากนั้นก็จะสบายละเพราะเราจะทำทุกอย่างแบบอัตโนมัติและในระบบออนไลน์ การเริ่มต้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วนนะจ๊ะ

ส่วนที่ 1 ปักหมุดเป้าหมาย

เริ่มจากรู้จักพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเองในปัจจุบันจากการจดบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อจะได้เห็นภาพการใช้เงินของตนเองชัดเจนมากขึ้นและเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการวางแผนในอนาคตด้วยว่าควรเพิ่มหรือลดเงินในรายการไหน

อ่านถึงตรงนี้ก็อาจจะมีคนขี้เกียจจดทุกวัน เรื่องแบบนี้ยืดหยุ่นกันได้ เราขอให้อดทนจดสัก 2-3 เดือนเพื่อจะได้เห็นภาพรวมที่มาและที่ไปของเงินว่าเป็น “รายได้ เงินออมและรายจ่าย” เท่าไหร่ เพื่อจะได้นำมาตั้งงบประมาณให้ตนเองได้ แต่ถ้าจดจนชินแล้วก็ควรจดไปเรื่อยๆจะดีมากเลยนะจ๊ะ

จากนั้นจึงวางแผนอนาคตด้วยการตั้งเป้าหมายว่า “อะไร เท่าไหร่ เมื่อไหร่” เพื่อจะได้รู้ว่าเงินก้อน นี้จะใช้ในช่วงเวลาไหน ในระยะสั้น กลางหรือยาว เช่น อีก 2 ปีจะไปเรียนต่อปริญญาโท 200,000 บาท ถ้าเราวางเป้าหมายไว้ชัดเจนก็จะได้เลือกวิธีการเก็บเงินที่เหมาะสมกับเป้าหมายได้

ส่วนที่ 2 เลือกวิธีเก็บเงิน

โยงแต่ละเป้าหมายของเราว่าจะเก็บไว้ในรูปแบบใด เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ ตราสารทุน กองทุนรวม ฯลฯ เพราะรูปแบบการเก็บเงินและเวลาที่ต้องการใช้เงินจะต้องตรงกัน เช่น

-เราต้องการเก็บเงินฉุกเฉิน เป็นเงินระยะสั้นที่ต้องถอนออกมาใช้เวลาเร่งด่วน ก็ต้องฝากไว้ในออมทรัพย์หรือกองทุนตลาดเงิน ไม่ควรเก็บเงินฉุกเฉินไว้ในฝากประจำหรือกองทุนรวมที่มีความผันผวนเพราะถ้าโชคร้ายมูลค่าหน่วยลงทุนลดลงในช่วงที่ต้องรีบใช้เงิน เราก็จะได้เงินคืนมาลดลง
-เราต้องการวางแผนเกษียณ เป็นการเก็บเงินระยะยาวไว้ใน RMF หรือว่าประกันชีวิตแบบบำนาญ ไม่ควรเก็บเงินเกษียณไว้ที่ฝากออมทรัพย์เพราะได้ผลตอบแทนต่ำ เราอาจจะเผลอถอนออกมาใช้จนไม่มีเงินเกษียณเลยก็ได้

ส่วนที่ 3 เปิดบริการออนไลน์

ใช้บริการธนาคารออนไลน์ หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า E-Banking ซึ่งแต่ละธนาคารก็มีให้บริการอยู่แล้ว เพียงโหลด App มาไว้ในสมาร์ทโฟน เราจะได้เห็นความเคลื่อนไหวของบัญชีอย่างใกล้ชิด รวมถึงทำธุรกรรมต่างๆได้เองทุกที่ ทุกเวลา เช่น โอน ฝาก ถอน ซื้อกองทุนรวม ฯลฯ (ไม่ต้องไปเสี่ยงภัยกับการขายประกันชีวิตที่ธนาคารอีกต่อไป อิอิ)

เปิดบัญชีกองทุนรวมแบบออนไลน์ ตอนนี้มีหลายบริษัทให้บริการขายกองทุนรวม เช่น

-ธนาคารพาณิชย์
-บริษัทหลักทรัพย์(ที่เราชอบเรียกว่าโบรกเกอร์)
-บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.)

ตอนนี้เราเริ่มเข้าใจแต่ละส่วนของการตั้งระบบการออมเงินกันไปแล้วว่ามีอะไรบ้าง ต่อไปจะเป็นการนำแต่ละส่วนมาผสมกันเป็นระบบออมอัตโนมัติของเรานะจ๊ะ

เริ่มต้นที่พระเอกของเรา คือ สมการเงินออม

รายได้ – เงินออม = รายจ่าย

แบ่งเงินตัวเองออกเป็น 3 บัญชีหลักๆ คือ บัญชีเงินเดือน บัญชีเงินออมและบัญชีรายจ่าย แยกกันให้ชัดเจน ไม่ควรนำมาผสมกันเพราะเราจะสับสนและใช้จ่ายมั่วกันไปหมด

ถ้าเราจะแบ่งให้ละเอียดยิ่งขึ้น…

รายได้ – เงินออม – รายจ่ายห้ามเบี้ยว = รายจ่ายลั้นลา

เราจะแยกรายจ่ายให้ชัดเจนว่ารายการไหนเป็นรายจ่ายห้ามเบี้ยว และรายจ่ายลั้นลา เมื่อรายได้เข้ามาปุ๊บ ก็ตัดออกไปออมก่อน แล้วหักรายจ่ายห้ามเบี้ยว สุดท้ายก็จะเป็นรายจ่ายลั้นลาให้เราใช้ในชีวิตประจำวัน

รายจ่ายห้ามเบี้ยว คือ รายจ่ายประจำที่ต้องจ่ายคงที่ ถ้าไม่จ่ายก็จะทำให้ครอบครัวเดือดร้อนได้ นั่นคือ ส่วนของหนี้สิ้นที่เราผ่อนจ่ายนั่นเอง เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบัตรเครดิต

รายจ่ายลั้นลา คือ รายจ่ายไม่คงที่ เลือกได้ว่าจะจ่ายมากหรือน้อย เป็นรายจ่ายจิปาถะทั่วไป ในชีวิตประจำวัน เช่น กิน เที่ยว เดินทาง ช้อปปิ้ง สังสรรค์ ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ฯลฯ

เรามาลองจัดระเบียบเงินเดือนกันว่าจะแบ่งอย่างไร ภาพตารางข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างการจัดระบบเงินเดือนว่าจะแบ่งไว้แต่ละบัญชีกี่ % สมมติว่าเงินเดือน 20,000 บาท แล้วแบ่งสัดส่วนเงินตามนี้

สมมติว่า…

เงินออม 30%ของรายได้ คือ 20,000 x 30% = 6,000 บาท
รายจ่ายห้ามเบี้ยว 40%ของรายได้ คือ 20,000 x 40% = 8,000 บาท
รายจ่ายลั้นลา 30%ของรายได้ คือ 20,000 x 30% = 6,000 บาท

ภาพรวมของบัญชีเมื่อถึงวันที่เงินเดือนออก ระบบที่ตั้งไว้ก็จะแบ่งเงินออกเป็นส่วนๆไปที่บัญชีเงินออม บัญชีรายจ่าย (รายจ่ายห้ามเบี้ยวและรายจ่ายลั้นลา) ต่อไปเราจะมาเจาะทีละส่วนว่าบัญชีเงินออมและบัญชีรายจ่ายมีอะไรกันบ้าง

บัญชีเงินออม

บัญชีนี้ก็จะแบ่งย่อยออกมาเป็นเป้าหมายว่าเราจะใช้เงินไปทำอะไรในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว เพราะจะได้เลือกวิธีการเก็บเงินให้ตรงกับเป้าหมายนั้น

ระยะสั้น คือ เป้าหมายไม่เกิน 1- 3 ปี

เช่น วางแผนเงินฉุกเฉิน วางแผนท่องเที่ยว ฯลฯ
รูปแบบการเก็บเงินก็จะเน้นไปทางสร้างสภาพคล่องที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็ว เช่น ฝากออมทรัพย์ กองทุนรวมตลาดเงิน เป็นต้น

ระยะกลาง คือ เป้าหมายระยะ 3 – 5 ปี

เช่น วางแผนการศึกษาให้ลูก วางแผนเรียนต่อ วางแผนสร้างธุรกิจ วางแผนแต่งงาน ฯลฯ
รูปแบบการเก็บเงินความเสี่ยงปานกลางถึงสูง(ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะรับความเสี่ยงได้ในระดับใด) เช่น การฝากประจำ ตราสารหนี้(พันธบัตร หุ้นกู้) หุ้นสามัญ กองทุนรวมหุ้น ประกันแบบออมทรัพย์ เป็นต้น

ระยะยาว คือ เป้าหมายระยะเกิน 5 ปีขึ้นไป

เช่น วางแผนเกษียณ ฯลฯ
รูปแบบการเก็บเงินควรความเสี่ยงต่ำ ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ เช่น หุ้นปันผลสูง RMF พันธบัตร ประกันชีวิตแบบบำนาญ

เจาะลึกบัญชีเงินออม….

เราแบ่งเข้าบัญชีเงินออม 6,000 บาท ก็จะแบ่งละเอียดไปอีกว่าเป็นระยะสั้น กลางและยาวกี่% โดยตั้งเป้าหมายก่อนแล้วค่อยกลับมาคำนวณว่าจะต้องแบ่งแต่ละช่วงเวลาไปกี่ % เช่น เราวางไว้ว่าจะเก็บเงินจ่ายค่าประกันชีวิตแบบบำนาญปีละ 21,600 บาท เราก็จะทยอยเก็บอัตโนมัติเดือนละ 1,800 บาท เมื่อถึงกำหนดจ่ายก็ถอนออกไปจ่าย

“ฝาก – ถอน” ปรับสภาพคล่องแบบออนไลน์

ถ้าแต่ละเดือนมีเงินเหตุที่ต้องใช้เงินเร่งด่วนก็สามารถส่งคำสั่งขายกองทุนรวมตลาดเงินแบบออนไลน์ ในวันรุ่งขึ้นเงินสดก็จะเข้าบัญชีธนาคารของเรา แต่ถ้าเดือนไหนเรามีเงินพิเศษเข้ามาแล้วต้องการที่จะออมเงินเพิ่ม ก็สามารถสั่งซื้อกองทุนแบบออนไลน์ได้เช่นกัน เราทำได้เองที่ไหนก็ได้โดยที่ไม่ต้องไป ยืนรอต่อคิดที่หน้าธนาคารให้เสียเวลา

เจาะลึกบัญชีรายจ่าย…

จากการจดบัญชีรายจ่ายก็จะทำให้เรารู้ว่าแต่ละเดือนจะต้องจ่ายอะไรเท่าไหร่บ้าง เมื่อถึงวันเงินเดือนออก ก็ต้องตัดไปจ่ายส่วนที่เป็นหนี้สินก่อนจะได้หมดภาระเร็วๆ เหลือเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น (รายจ่ายที่ขีดเส้นใต้ไว้ก็เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น)

สรุปภาพรวมเส้นทางการเงินของเราว่าในแต่ละเดือน ไหลไปอยู่ส่วนไหนบ้าง หากเราไม่วางแผนไว้ก็จะใช้จ่ายไม่มีระเบียบ บางเดือนอาจจะใช้กินเที่ยวมากเกิน ไปจนไม่มีเงินจ่ายค่าผ่อนรถ หรืออาจจะเก็บเงินระยะสั้นมากเกินไปจนละเลยการวางแผนการลงทุนระยะยาวเพื่อเกษียณนะจ๊ะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook