ครม.ผ่านมาตรการกระตุ้นอสังหาฯตามคาด
ครม. เห็นชอบมาตรการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งลดค่าธรรมเนียมการโอน นำค่าใช้จ่ายซื้อบ้านหักลดหย่อนภาษี และให้ธอส.เตรียมวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ปล่อยสินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรน
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ทึ่ประชุม ครม. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้คนมีรายได้น้อย และกู้เงินซื้อบ้านไม่ผ่านการพิจารณาของสถาบันการเงิน มายื่อขอกู้ใหม่ ด้วยการให้ ธอส. เตรียมวงเงิน 1 หมื่นล้านบาทพิจารณาสินเชื่อจากผู้ถูกปฏิเสธ สินเชื่อจากแบงก์อื่น เพื่อผู้ซื้อที่ยู่อาศัยได้มีบ้านได้ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
คาดว่าจะมีผู้ถูกปฎิเสธสินเชื่อกลับมาขอสินเชื่อผ่าน ธอส.ประมาณ 5-6 พันราย กำหนดระยะเวลารับคำขอและการทำนิติกรรม 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2558 และให้ ธอส. สามารถขยายระยะเวลาได้ตามความเหมาะสม ระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 30 ปี และมีกลุ่มเป้าหมาย คือผู้ที่มีรายได้สุทธิต่อเดือนไม่เกิน 30,000 บาท โดยเกณฑ์หลักประกันเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติงานสินเชื่อของ ธอส.
นอกจากนี้ยังเห็นชอบ การลดค่าธรรมเนียมจดจำนองจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 ของมูลค่าจดจำนอง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ในกรณีการจำนองฯ เหลือร้อยละ 0.01 เพื่อเร่งให้เกิดการทำนิติกรรมโดยเร็ว
รวมทั้งการลดค่าธรรมเนียมการโอนจากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01 เป็นเวลา 6 เดือน สำหรับการซื้อบ้านบ้านทุกราคา เริ่มตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงส้ินเดือนมีนาคมปี 59
รวมทั้งมาตรการลดภาระคนซื้อบ้านไม่เกินราคา 3 ล้านบาท ด้วยการนำเงินสัดส่วนร้อยละ 20 ของราคาซื้อบ้านมาหักลหหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทำให้ราคาบ้านลดลงร้อยละ 20 โดยผู้ได้รับสิทธิจะต้องไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์มาก่อน และมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี กล่าวคือต้องเป็นการซื้อครั้งแรกและเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยจริง โดยต้องใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อเนื่องกัน 5 ปีภาษี นับแต่ปีภาษีที่มีการจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์
โดยให้แบ่งใช้สิทธิเป็นจำนวนเท่า ๆ กันในแต่ละปีภาษี ทั้งนี้ ต้องจ่ายค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบวันนี้ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้ว่ามาตราการดังกล่าวกระทบรายได้รัฐบาลลดลง 15,000 ล้านบาทต่อปี แต่จะช่วยให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากนั้นจะผลักดันให้อุตสหกรรมที่เกี่ยวข้องขยายตัวดีขึ้นตามไปด้วย นายกรัฐมนตรียังมีนโยบายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศให้มีที่อยู่อาศัย จึงได้หารือกับการเคหะแห่งชาติ และกระทรวงพัฒนาสังคมฯ เพื่อออกมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีบ้านเป็นของตนเอง.