"ช้าง" เขย่าบัลลังก์ "สิงห์" ฟองเบียร์ 1.5 แสนล้าน ปะทุอีกระลอก
เกือบตลอดทั้งปีที่ผ่านมา แม้ตลาดเบียร์ที่มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 1.5 แสนล้านบาท จะเติบโตในลักษณะทรงตัว จากผลกระทบทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ย่ำแย่ แต่ในแง่การแข่งขันกลับมีความเข้มข้นและดุเดือดมากขึ้น โดยเฉพาะการชิงไหวชิงพริบระหว่าง 2 ค่ายใหญ่ "สิงห์" (บุญรอดบริวเวอรี่) "ช้าง" (ไทยเบฟเวอเรจ) ที่ครองมาร์เก็ตแชร์คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90-95% ของตลาดรวม
ล่าสุด ตัวเลขมาร์เก็ตแชร์ช่วง 11 เดือนของ 2 ผู้เล่นหลัก เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัย หลังจากไทยเบฟฯส่งช้างขวดเขียวเข้าสู่ตลาดเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2558 และทุ่มงบฯทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างหนัก ส่งผลให้ตัวเลขช่วงเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขยับขึ้นมาอย่างน่าจับตา จากก่อนหน้านี้ประมาณ 2 เดือน ที่ไทยเบฟฯหยุดผลิตขวดน้ำตาล
"เอ็ดมอนด์ เนียว คิม ซูน" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ขยายความว่า จากการรีลอนช์เบียร์ช้างโฉมใหม่ และการทำกิจกรรมตลาดอย่างหนัก ทำให้ตัวเลขเบียร์ช้างในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ยอดขายและมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นมากกว่าเป้าที่ตั้งไว้
จากนี้ไปจะยังทุ่มงบฯทำกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาโมเมนตัมการเติบโตดังกล่าวไว้ และรับมือกับการแข่งขันของคู่แข่ง โดยเฉพาะค่ายสิงห์ ที่คาดว่าจะเร่งทำตลาดอย่างเข้มข้นมากขึ้นเพื่อรักษามาร์เก็ตแชร์ที่มีอยู่ไว้ให้ได้
แหล่งข่าวจากบริษัทไทยเบฟฯ อีกรายหนึ่งให้ข้อมูลว่า การลอนช์ขวดเขียวเข้าสู่ตลาด ช่วยให้ช้างมียอดขายที่เพิ่มขึ้น และทำให้มีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้น 2-4% จากปกติที่มีตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่ 24-25% เฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 28-29%
เช่นเดียวกับ "วิเชฐ ตันติวานิช" ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวในเรื่องนี้ว่า "จากนี้ไป ยังคงเดินหน้าทำการตลาด เพื่อเพิ่มมาร์เก็ตแชร์และรับมือกับการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตลาดเบียร์ในภาพรวมอาจไม่เติบโตเพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว"
ขณะที่แหล่งข่าวผู้คร่ำหวอดในวงการเบียร์รายหนึ่ง วิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของตลาดเบียร์ที่เกิดขึ้นว่า ตัวเลขยอดขายช้างขวดเขียวที่ได้รับความนิยมในช่วง 2-3 เดือนแรกที่เห็น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเร่งทำตลาดอย่างหนักของไทยเบฟฯ รวมถึงกระแสข่าวดารานักร้องที่โพสท่าถ่ายรูปคู่กับเบียร์ ที่เป็นข่าวใหญ่ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ที่ช่วยปลุกกระแสและดึงให้คอเบียร์หันมาทดลองดื่มของใหม่ เพื่อรักษาโมเมนตัมไว้ ช้างก็จะต้องมีกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มอีก เพราะค่ายสิงห์เองก็ต้องมีอะไรออกมาตอบโต้
ที่น่าจับตาอย่างหนึ่งก็คือ การปรับเปลี่ยนรสชาติที่ช้างขวดเขียว เน้นมาทางกลุ่มคนเมือง ด้วยการลดปริมาณแอลกอฮอล์เหลือ 5.5% จากเดิมที่เข้มข้นในระดับ 6% ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้กลุ่มผู้ดื่มช้างที่มีอยู่จำนวนมากลดจำนวนลง และปัญหาอีกอย่างหนึ่งของช้างที่ยี่ปั๊วซาปั๊วพูดกันมากก็คือ ราคาที่ไม่นิ่ง บางช่วงได้กำไรมาก บางช่วงได้กำไรน้อย จึงไม่จูงใจเท่าที่ควร
วันนี้แม้มาร์เก็ตแชร์ช้างจะขยับเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ถือว่าตัวเลขยังห่างจากสิงห์อีกไกล
การที่ "ช้าง" จะตามจี้ "สิงห์" ชนิดหายใจรดต้นคอ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเป็นไปได้ แต่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและต้องทำงานอย่างหนัก
นี่คือจุดเริ่มต้นของเบียร์ช้างที่กำลังก้าวเข้ามาเขย่าบัลลังก์แชมป์ของเบียร์สิงห์
ด้านแหล่งข่าวจากบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ระบุว่า ที่ผ่านมาทั้งสิงห์และลีโอ สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้ และมีมาร์เก็ตแชร์ 70% จากที่ตั้งเป้าไว้ 72% ซึ่งการที่คู่แข่งส่งขวดเขียวเข้ามาทำตลาด และทุ่มงบฯตลาดจำนวนมากเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ตลาดรวมมีความคึกคักและตลาดรวม โตขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับมาร์เก็ตแชร์ของคู่แข่งที่เพิ่ม หลัก ๆ ก็มาจากตลาดรวมที่โตขึ้น
"ขวดเขียวที่ออกมาใหม่ทำให้มีลูกค้ากลุ่มหนึ่งสวิตช์ไปลองดื่มของใหม่ แต่ตอนนี้ก็กลับมาหาลีโอเหมือนเดิม"
แหล่งข่าวรายนี้ยังให้ข้อมูลต่อไปอีกว่า หากย้อนกลับไป ที่ผ่านมาสิงห์จะมีมาร์เก็ตแชร์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 72-74% การมีมาร์เก็ตแชร์ที่ 70% ก็ยอมรับได้ เนื่องจากเป็นตัวเลขยอดขายที่ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น จากนี้ไปนโยบายหลัก ๆ สิงห์จะยังเน้นการรักษามาร์เก็ตแชร์ให้อยู่ในระดับ 70-73% เพื่อให้มีตัวเลขมาร์จิ้นที่ดีและเหมาะสม เน้นการบริหารจัดการและลดต้นทุนการดำเนินงานในหลาย ๆ ส่วน เช่น การสต๊อกเบียร์ของเอเย่นต์ จาก 20 วันเหลือ 10 วัน เพื่อให้เอเย่นต์มีเงินหมุนเวียนมากพอ และเม็ดเงินไม่ไปจมอยู่กับสต๊อกควบคู่กับการบริหารจัดการระบบ Supply Chain ทางการเงิน ด้วยการจับมือกับธนาคารพาณิชย์ ทำโครงการสินเชื่อพิเศษให้กับตัวแทนจำหน่าย เพื่อเพิ่มศักยภาพและความคล่องตัวทางด้านการเงินให้ตัวแทนจำหน่าย
รวมทั้งการทำให้ราคาสินค้านิ่ง ไม่แกว่ง ไม่สะวิง เพื่อทำให้ยี่ปั๊วซาปั๊วมีกำไรอย่างชัดเจน และจะสามารถบริหารจัดการกิจการของตัวเองได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
"ตัวเลขมาร์เก็ตแชร์ เป็นเรื่องที่ต้องดูกันยาว ๆ จะดูเพียง 2-3 เดือนไม่ได้ ซึ่งเราก็ไม่ประมาท จากนี้ไปสิงห์-ลีโอจะมีความเคลื่อนไหวทางการตลาดออกมาเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง" แหล่งข่าวจากค่ายสิงห์ย้ำ
การเปิดเกมรุกรอบใหม่ของ ค่ายไทยเบฟฯ ที่ตัดสินใจส่ง "ช้างขวดเขียว" เข้ามาเขย่าบัลลังก์เจ้าตลาด และเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ตัวเลขมาร์เก็ตแชร์ขยับขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไม่เคยมีมาก่อนในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของตลาดเบียร์ และเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามเบียร์รอบใหม่ที่กำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้ง
นี่คือ ศึกแห่งศักดิ์ศรีที่ "สิงห์" คงไม่ยอมง่าย ๆ
จากนี้ไป สงครามเบียร์ระหว่างสิงห์-ช้าง คงมีอุณหภูมิการแข่งขันที่ร้อนแรงขึ้นมาอีกเป็นระลอก ๆ
ศึกครั้งนี้...คงไม่มีใครยอมใคร อย่ากะพริบตาเป็นอันขาด