แบงก์กำไรดีเว่อร์ 1.93 แสนล้าน ลดลงแค่ 1.4 หมื่นล้าน ‘กสิกร’ ลดลงมากสุด
เมื่อวันที่ 21 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง ได้แก่ ธนาคารทหารไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ทิสโก้ กรุงศรี เกียรตินาคิน แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนชาต กรุงเทพ กรุงไทย และกสิกรไทย ได้ประกาศผลประกอบการปี 2558 มีกำไรสุทธิรวม 193,003 แสนล้านบาท ลดลงจากปี 2557 ที่ทำได้ 207,013 ล้านบาท ลดลงประมาณ14,010 ล้านบาท หรือ 6.77%
โดยธนาคาร 5 แห่ง มีกำไรสุทธิลดลง ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทยกำไรลดลง 14.47% กรุงไทยกำไรลดลง 14.16% ไทยพาณิชย์กำไรลดลง 11.54% กรุงเทพกำไรลดลง 5.92% และธนาคารทหารไทยกำไรลดลง 2.16% ตามลำดับ ขณะที่อีก 6 แห่งมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น โดยธนาคารที่มีกำไรเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 37.48% กรุงศรีเพิ่มขึ้น 31.51% และเกียรตินาคินเพิ่มขึ้น 21.34%
โดยธนาคารกสิกรไทยมีกำไรสุทธิ 39,473 ล้านบาท จากปี 2557 ทำได้ 46,153 ล้านบาท ลดลง 6,679 ล้านบาท กรุงไทยมีกำไรสุทธิ 28,491 ล้านบาท จากปี 2557 ทำได้ 36,332 ล้านบาท ลดลง 4,699 ล้านบาท รองลงมาคือธนาคารไทยพาณิชย์ที่ปี 2558 มีกำไรสุทธิ 47,182 ล้านบาท จากปี 2557 ที่ทำได้ 53,334 ล้านบาท ลดลง 6,152 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพ มีกำไรสุทธิ 34,180 ล้านบาท จากปี 2557 ทำได้ 36,332 ล้านบาท ลดลง 2,151 ล้านบาท
นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ชี้แจงผลการดำเนินงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนสำรองและภาษีเงินได้อยู่ที่ 65,689 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,784 ล้านบาทหรือ 9.66% แต่จากแนวโน้มหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้นในลูกค้าเอสเอ็มอี รายย่อยและลูกค้าอุตสาหกรรมเหล็ก และต้องดำเนินงานตามหลักเกณฑ์ความระมัดระวังที่จะรักษาระดับของอัตราส่วนเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทำให้ธนาคารกันสำรองทั้งสิ้น 24,000 ล้านบาท
ซึ่งรวมถึงการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญรายเดือนและกันสำรองพิเศษตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2558 ทั้งนี้ บริษัทมีค่าใช้จ่ายการตั้งสำรอง 30,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,898 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 63.82%
ขณะที่ธนาคารกสิกรไทย ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า สาเหตุที่กำไรลดลงเนื่องจากตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นจำนวน 12,134 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการตั้งสำรองการด้อยค่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์จำนวน 2,314 ล้านบาท เพื่อให้การบริหารตัดการต้นทุนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของธนาคารมีประสิทธิภาพในระยะยาว
น.ส.อุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า การประกาศผลประกอบการกลุ่มธนาคารถือดีกว่าที่คาดไว้ โดยการขยายตัวของสินเชื่อทั้งปีอยู่ที่เฉลี่ย 5% ซึ่งเติบโตทั้งสินเชื่อรายย่อย เช่าซื้อ ธุรกิจขนาดใหญ่ และธุรกิจเอสเอ็มอี กำไรสุทธิที่ถือว่าทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นประมาณ 71% จากกรณีของบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน)(เอสเอสไอ) ที่มีภาระหนี้กับธนาคารพาณิชย์ประมาณ 50,000 ล้านบาท ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนสามารถเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารรายตัวที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน และให้ปันผลดีเป็นหลัก