วิธี คำนวณเบี้ยประกันชีวิต ที่เหมาะกับตัวเอง

วิธี คำนวณเบี้ยประกันชีวิต ที่เหมาะกับตัวเอง

วิธี คำนวณเบี้ยประกันชีวิต ที่เหมาะกับตัวเอง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การทำประกันชีวิตต้องคำนึงถึงวงเงินความคุ้มครองที่เพียงพอต่อความต้องการและความสามารถในการส่งเบี้ยประกันได้ทุกปีอย่างต่อเนื่องโดยพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง เช่น อาชีพ รายได้ ภาระค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงเพื่อกำหนดวงเงินคุ้มครองและค่าเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับการบริหารจัดการกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในชีวิตได้อย่างเป็นระบบ

สำหรับวงเงินความคุ้มครองนั้นพิจารณาจากภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินต่าง ๆ ที่ต้องรับผิดชอบ โดยคำนวณภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือนของผู้ทำประกันชีวิตและครอบครัว เช่น คำนวณภาระค่าใช้จ่าย สมมติเดือนละ 15,000 บาท คูณด้วย 12 เดือน (15,000 x 12) ผลลัพธ์เป็นค่าใช้จ่ายรายปีเท่ากับ 180,000 บาท และพิจารณาจำนวนปีที่ต้องการเตรียมความคุ้มครองให้ครอบครัว อาจคำนวณจากระดับเบื้องต้น ระยะเวลา 5 ปี (180,000 x 5 ปี = 900,000 บาท)


ขั้นตอนต่อมา คือ คำนวณภาระหนี้สิน เช่น ค่าผ่อนบ้านและรถยนต์ สมมติภาระหนี้สินรวมเท่ากับ 2,000,000 บาท


จากนั้นรวมจำนวนภาระค่าใช้จ่ายและภาระหนี้สิน เท่ากับ 2,900,000 บาท นำมาลบกับเงินฝากธนาคารและเงินออมอื่น ๆ หากมีเงินออม 500,000 บาท สูตรคำนวณคือ 2,900,000 - 500,000 = 2,400,000 บาท ดังนั้นวงเงินสำหรับซื้อประกันเพื่อสร้างหลักประกันของครอบครัว คือ 2,400,000 บาท

บริษัทประกันแต่ละแห่งทำทุนประกันชีวิตเท่ากัน แต่มีรายละเอียดการคิดเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายแตกต่างกันและจำนวนเงินคืนระหว่างทำประกันก็ไม่เท่ากันด้วย

ยกตัวอย่าง ประกันชีวิตแบบให้ความคุ้มครองชีวิตทุกกรณีของบริษัทเอไอเอซึ่งคุ้มครองทุกสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ วิธีคำนวณ คือ ทุนประกันชีวิต x อัตราเบี้ยประกันชีวิต / 1,000 = เบี้ยประกันชีวิตที่ต้องชำระต่อปี


• ถ้ามีวงเงินประกันชีวิต 100,000 บาท จะเท่ากับ 100,000 x 26.03 / 1,000 หมายถึงต้องจ่ายเบี้ยประกันปีละ 2,603 บาท
• ถ้ามีวงเงินประกันชีวิต 300,000 บาท จะเท่ากับ 100,000 x 26.03 / 1,000 หมายถึงต้องจ่ายเบี้ยประกันปีละ 7,809 บาท


ประกันชีวิตมีส่วนลดเบี้ยประกัน ข้อกำหนดอาจแตกต่างกันในแต่ละบริษัทหรือแต่ละรูปแบบการประกัน ดังนี้


• ทุนประกันชีวิต 100,000 - 249,999 บาท ไม่มีส่วนลดอัตราเบี้ยประกัน
• ทุนประกันชีวิต 250,000 - 599,999 บาท มีส่วนลดอัตราเบี้ยประกัน 1 บาท
• ทุนประกันชีวิต 600,000 บาท ขึ้นไป มีส่วนลดอัตราเบี้ยประกัน 2 บาท


ตัวอย่างเช่น การซื้อประกันชีวิตวงเงิน 1 ล้านบาท จะเท่ากับ 1,000,000 x 26.03 / 1,000 หมายถึงต้องจ่ายเบี้ยประกันปีละ 26,030 บาท แต่ถ้าคำนวณโดยใช้ส่วนลดอัตราเบี้ยประกัน ดังนี้ 1,000,000 x (26.03-2) / 1,000 เท่ากับต้องจ่ายเบี้ยประกันปีละ 24,030 บาท ประหยัดเงินได้ปีละ 2,000 บาท


การชำระเบี้ยประกันที่เหมาะสม ควรชำระเบี้ยประกัน 10% - 20% ของรายได้ต่อปี และวงเงินความคุ้มครองพิจารณาจากภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินต่าง ๆ ที่ผู้ทำประกันต้องรับผิดชอบ โดยสามารถคำนวณภาระทั้งหมดเพื่อค้นหาวงเงินความคุ้มครองด้วยวิธีพื้นฐาน ดังนี้


สมมติว่าภาระค่าใช้จ่ายเดือนละ 15,000 บาท คูณด้วย 12 เดือน (15,000 x 12) จะได้ ค่าใช้จ่ายต่อปีเท่ากับ 180,000 บาท และ (2) ดูจำนวนปี ที่คุณต้องการเตรียมไว้ให้ครอบครัว กรณีไม่แน่ใจให้ใช้ระยะเวลา 5 ปี (180,000 x 5 ปี = 900,000 บาท)


เบี้ยประกันชีวิตกับการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคล โดยผู้เอาประกันชีวิตสามารถนำมาหักภาษีรายได้บุคคลได้ไม่เกิน 100,000 บาท แต่กรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติม ค่าเบี้ยประกันส่วนควบนั้นไม่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้


ข้อจำกัด


ทั้งนี้ มีข้อจำกัดบางประการที่บริษัทประกันชีวิตยกเว้นการจ่ายเงินเอาประกันจากสาเหตุการตายแต่จะคืนเบี้ยประกันชีวิต ในกรณีที่ผู้รับประโยชน์ฆ่าผู้เอาประกันตายหรือผู้เอาประกันฆ่าตัวตายภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันทำสัญญาหรือวันต่ออายุสัญญาครั้งสุดท้าย


การประกันชีวิตไม่คุ้มครองถึงการทำร้ายตัวเองซึ่งเกิดขึ้นภายใน 1 ปี นับจากวันที่ประกันชีวิตเริ่มคุ้มครอง หรือในกรณีที่ถูกผู้รับประโยชน์ถูกทำร้ายโดยเจตนา หรือผู้ทำประกันปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องสุขภาพในใบคำขอเอาประกันชีวิต ภายในระยะเวลา 2 ปี


หากมีปัญหาทางการเงิน ผู้เอาประกันชีวิตมีสิทธิ์ได้รับการผ่อนผันการชำระเงินได้โดยการยืดระยะเวลาผ่อนผันการชำระเบี้ยประกันได้ประมาณ 30 หรือ 60 วัน หรือเปลี่ยนงวดการชำระเบี้ยประกันภัย เช่น ปรับลดจากรายปีเป็นราย 6 เดือน ราย 3 เดือน หรือรายเดือน เพื่อให้จ่ายเบี้ยประกันภัยต่องวดลดลง


นอกจากนี้ยังสามารถกู้เงินตามกรมธรรม์เพื่อนำมาชำระค่าเบี้ยประกันภัย รวมทั้งยังลดทุนประกันภัย หรือยกเลิกสัญญาเพิ่มเติมบางรายการเพื่อลดจำนวนเบี้ยประกันให้เหมาะสมกับกำลังจ่ายได้ หรือขอใช้สิทธิ์เปลี่ยนเป็นกรมธรรม์สำเร็จหรือขยายระยะเวลาเอาประกันภัย


ผลประโยชน์ของกรมธรรม์


เนื่องจากการซื้อประกันมีหลายรูปแบบ ประโยชน์ของการทำประกันชีวิตจึงแตกต่างกันตามรูปแบบและวงเงินประกัน ดังนี้


1. ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา ผู้รับประโยชน์จะได้รับเงินเอาประกันภัย ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนด


2. ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ บริษัทจะจ่ายเงินชดเชยตามจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ผู้รับประโยชน์หลังจากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ไม่ว่าจะเสียชีวิตเมื่อใดก็ตาม ทั้งสองแบบจะจ่ายเงินให้ผู้รับประโยชน์ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตแล้วเท่านั้น


3. ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ผู้รับประโยชน์จะได้รับเงินตามจำนวนที่เอาประกันภัยไว้ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ หรือจ่ายเงินเอาประกันชีวิตให้แก่ผู้เอาประกันภัยในกรณีที่มีชีวิตอยู่เมื่อพ้นระยะเวลาแล้ว


4. ประกันชีวิตแบบเงินบำนาญ เริ่มจ่ายตั้งแต่วันที่ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ เนื่องจากความชรา ไปจนถึงวันที่กำหนดไว้ ชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือตลอดอายุ
ผู้ทำประกันชีวิตจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ลูกค้าที่ชำระเบี้ยประกันจะได้รับประโยชน์แตกต่างกัน เช่น แพ็คเกจคลาสสิก แพ็คเกจพรีเมี่ยม บัตรกำนัลพิเศษสำหรับวันเกิด บัตรกำนัลตรวจสุขภาพ กิจกรรมพิเศษสำหรับผู้ถือกรมธรรม์ VIP ทริปท่องเที่ยวสุดพิเศษ สิทธิพิเศษสำหรับการตรวจสุขภาพประจำปีฟรีทุกปี เป็นต้น


ก่อนซื้อประกันชีวิต ควรถามตัวว่าต้องการซื้อประกันเพื่อเป้าหมายอะไร จากนั้นเลือกรูปแบบประกันที่ตอบสนองความต้องการตนเอง เมื่อคำนวณค่าเบี้ยประกันชีวิตและตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำประกันชีวิตรูปแบบไหน กับบริษัทใด ควรติดต่อบริษัทประกันชีวิตได้โดยตรงหรือผ่านตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยที่มีความน่าเชื่อถือ

 

Advertorial

สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook