เทคนิคปลูกต้นไม้ยังไงให้ “แฟนเพจโตเร็ว"

เทคนิคปลูกต้นไม้ยังไงให้ “แฟนเพจโตเร็ว"

เทคนิคปลูกต้นไม้ยังไงให้ “แฟนเพจโตเร็ว"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เทคนิคปลูกต้นไม้ยังไงให้ “แฟนเพจโตเร็ว"
จาก คอร์ส ORGANIC RICH

เรามาลองคิดดูจริงๆแล้วการทำเพจให้มี Organic Reach ดีๆ ก็ไม่ต่างจากการปลูกพืชทำไร่ Organic ยังไงให้รวย ๆ แต่มันโชคดีกว่า เพราะที่ดินนั้นคุณได้มาฟรีไม่ต้องเสียเงินซักกะบาทมันก็ขึ้นอยู่กะคุณว่าจะเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือทำกำไรยังไง

ข้อ 1 : ตั้งชื่อไร่ = ตั้งชื่อเพจ

เราไม่ควรตั้งชื่อว่า “ไร่องุ่น” แต่ดันไปปลูก “ลองกอง” ดังนั้นการตั้งชื่อเพจควรเป็นอะไรที่สอดคล้องกับเนื้อหาในเพจ เพราะสุดท้ายเค้าอาจจะหลงผิดมากดไลค์ แต่ก็อาจจะ unfollow ในภายหลังได้อยู่ดี

ส่วนถ้าคนไม่รู้ว่าจะตั้งอะไร ให้เน้นจำง่ายไว้ก่อน เอาสั้น ๆ และหรืออ่านปุ๊บรู้ปั๊บว่าเกี่ยวกะอะไร เช่น “หมาล้วน ๆ” เค้าจะรู้ทันทีว่า เพจนี้ไม่มีแมวเจือปน

หรือไม่งั้นก็ต้องใช้ Slogan ช่วยอธิบายเพิ่มเติมหมาล้วน ๆ : เจอแมวจับปรับได้ทันที(หมาล้วน ๆ คือชื่อเพจ บอกว่าเป็นเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับสุนัข ส่วน เจอแมวจับปรับได้ทันที คือสโลแกน ที่คอนเฟิร์มอีกรอบว่า ไม่มีเรื่องอื่นแน่นอน)

ถ้า Personal Brand ยังไม่แข็งพอ (หรือไม่ใช่สายเน็ตไอดอลด้านความสวยงาม )ก็อย่าเพิ่งเอามาตั้งเป็นชื่อเพจ เพราะว่า หลาย ๆ ครั้ง “ชื่อเพจ” คือข้อความเดียวที่จะสื่อสารว่า
ทำไมเค้าต้องเข้ามาติดตามอ่านแฟนเพจนี้ มันเกี่ยวข้องกับเค้ายังไง?

มีอีกวิธีนึงก็คือตั้งชื่อที่น่าสนใจที่บ่งบอกคาแรคเตอร์ของเรา แล้วตามด้วย by เพื่อบอกว่าใครคือผู้เขียนเช่น รักต้องสตรอง ลองมั้ยละจ๊ะ BY BOY Hormone for Kids by Dr.OrN
เก่งอังกฤษ ด้วยเทคนิคสุดเจ๋ง by KruFiat
..

ข้อ 2 :เลือกเมล็ดพันธ์ที่เรารัก และอยากเห็นมันเติบโต 

คือเลือกทำในสิ่งที่เราชอบ และรู้ดีเช่น Infopreneur , การเลี้ยงดูเด็ก , การถ่ายภาพ portrait ,การทำขนมไทย ,

และที่สำคัญวิธีคัดกรองง่าย ๆ อีกอย่างก็คือ เลือกทำเพจอะไรที่เรามี Passion กะมันเยอะๆ เพราะถ้าเราตกหลุมรักมันไม่เยอะพอ เชื่อได้เลยว่า เราคงยอมเหนื่อยและอยู่อดทนจนรอเห็นดอกผลของมันไม่ไหวหรอก พอไม่มีคนไลค์ ไม่มีคนแชร์ สักพักคงหนีไปทำอย่างอื่นทิ้งให้ไร่ของเราร้างๆไว้ชัวร์

คำเตือนก็คือ ไม่จำเป็นต้องไปทำตามคนอื่นเค้า ไอดอลของเราเค้าทำเพจสร้างแรงบันดาลใจ เราก็ไปพูดไปเขียนในแบบเดียวกับเค้าเป๊ะ ซึ่งถ้า Story ของเราไม่สตรองพอ เพจของเราก็จะเป็นแค่เพจก๊อปปี้อีกเพจ ซึ่งไม่ได้น่าสนใจพอที่จะติดตาม ทางที่ดีให้เลือก “สิ่งที่เราเก่งกาจเฉพาะ” ที่ไอดอลของเราก็ยังต้องยอมแพ้มานำเสนอ แล้วเราก็จะมีที่ยืนในเฟสบุคแน่นอนครับ ผมอยากจะบอกว่า แค่เรายืนให้ถูกจุด เราจะพบว่ามีคนที่มารอเจอเราอยู่แล้วครับ


ข้อ 3 :เลือกแหล่งซื้อเมล็ดที่ดี (เลือกแหล่งข้อมูลของเราให้ดี)

- เราควรมี List แหล่งข้อมูล (Content Source) ที่ดี ๆ ของเราอย่างต่ำ 10  จะเป็นของไทยหรือต่างประเทศก็ได้ (แต่ผมแนะนำต่างประเทศมากกว่า) เอาให้มันอัพเดท น่าสนใจ ,น่าเชื่อถือ และที่สำคัญคนทั่วไปไม่ค่อยรู้

ซึ่งจริง ๆ แล้วผมจะบอกว่า ถ้าเทียบจำนวนแฟนเพจ และหนังสือที่คนไทยรู้จัก นั้นยังเป็นไม่ถึง 5% ของแหล่งข้อมูลทั้งหมดบนโลกเลยครับ การพัฒนาของ Content ในต่างประเทศนั้นไปไกลมาก เรื่องแรงบันดาลใจแทบจะหาไม่ได้แล้ว มีแต่หนังสือคลาสสิค ๆ ที่อยู่ยงคงกระพันเท่านั้นเอง

และการวิจัยคอนเทนต์ของเราจะมีคุณภาพเมื่อเรามี Content Source เยอะ ๆ บางทีเราอาจจะไม่ต้องผลิต Original Content ขึ้นมาใหม่เลย แต่เราต้องจัดการ Content คัด เลือก เกลา ผสม ให้ออกมาเหมาะกับคนไทยมากกว่าเดิมเท่านั้นเอง

เมื่อเราตัดสินใจทำแฟนเพจขึ้นมา ก็ถือว่าเราต้องสวมบทบาทนักเขียนตั้งแต่หนังสือยังไม่ออกวางจำหน่าย ดังนั้นควรฝึกหัดทำวิจัย Content หาตัวอย่างมายกประกอบตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อสร้าง Content ที่น่าแชร์ออกไปเป็นร้อยเป็นพันครั้งให้เพจเราเติบโตอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะออกหนังสือ Best seller ดีกว่าครับ


ข้อ 4 : เลือกที่รับแสงแดด (เลือก Positioning ของเราให้ชัดเจน)

เคสที่ผมยกมาบ่อย ๆ ก็คือ เรื่องของ “หมออร” ครับ หมออรเป็นเพื่อนที่เรียน เขียนไม่กี่คำ ทำเงินกว่า รุ่นเดียวกับผม (คลาสของพี่บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ) ตอนแรกหมออรเปิดเพจ Orn time official ซึ่งผมบอกได้เลยว่า หมออรขยันมาก ๆ ครับ เขียนดีอีกด้วย แต่เหมือนกับว่าเพจก็ยังไม่เติบโตเร็วเท่าไหร่

ทีนี้หมออรได้เปิดเพจ Hormone for Kids by Dr.OrN ซึ่งในขณะที่ผมเขียนอยู่นี้จำนวนแฟนเพจก็ไม่ได้มากมายเป็นหลักแสน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ 


1.คลิปที่หมออรอัพโหลดขึ้นไป (เป็นคลิปสอนล้างจมูกเด็กครับ) มีจำนวน View หลักหมื่นตั้งแต่ 5 วันแรกที่โพสต์
2.มีเว็บไซต์ใหญ่เกี่ยวกับแม่และเด็กมาขอให้เขียน Content ให้
3.จัดสัมมนาของตัวเองได้สำเร็จ
ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ใช้เวลาไม่นานและไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนเพจหลักหมื่นหลักแสน


เคสนี้แสดงให้เห็นว่า เราต้องรู้นะว่าต้องปลูกต้นไม้ของเราตรงไหน โซนนี้มีแสงมากแสงน้อย มีต้นไม้ใหญ่คอยบังอนาคตของเรามากน้อยขนาดไหน เพราะถ้าเราปลูกผิดที่ตั้งแต่แรกนี่ รดน้ำไปเท่าไหร่มันก็ไม่โตอยู่ดี

ดังนั้นเพจเราต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนตั้งแต่แรก Mission คืออะไร “เพจเรามีเพื่อทำให้ชีวิตใครดีขึ้น ด้วยวิธีการอะไร?” และใครคือ Target Group ของเรา เพราะทุกอย่างที่เราจะทำมันต้องสอดคล้องกะ Target Group

ประเด็นสำคัญที่อยากจะฝากไว้อีกอย่างก็คือ สมัยนี้เราเล่น ระดับ (Level) ไม่ได้แล้วนะจ๊ะ ไอพวกที่หนึ่งในประเทศไทย ต้นตำหรับ สุดยงสุดยอด อร่อยที่สุด อะไรพวกนี้เพราะคนจะตั้งคำถามในหัวว่า “แล้วไงฟะ คิดไปเองคนเดียวหรือเปล่า?”

ถ้าไม่ได้มีเหรียญทองโอลิมปิกกำกับ หรือชนะการประกวดอย่างเช่น ที่หนึ่งของ AIS Start Up อะไรแบบนี้ ถึงเราจะพูดว่าตัวเองเป็นอันดับหนึ่งบ่อยแค่ไหน สุดท้ายนักท่อง Social media ก็ไม่เชื่อเราอยู่ดีครับ

ณ วันนี้มันต้องใช้ Type เป็นจุดเด่นกันมันจะ “สร้างความแตกต่าง” ง่ายกว่า เช่น เพจอีเจี๊ยบเลียบด่วน พ่อบ้านใจกล้า หรือ ทุกอย่างซอฟเมื่อเป็นพาสเทล เป็นต้น
..

ข้อ 5 หมั่นรดน้ำทุกวัน (หมั่นโพส content ทุกวัน)

เมล็ดพันธุ์ต้องการน้ำฉันใด ยอดไลค์ของเพจต้องการโพสต์ content ฉันนั้น กฎสำคัญของการทำ Social Media (จริง ๆ ก็สำคัญหมดนะครับในยุคนี้) คือความสม่ำเสมอในการสร้าง Content มันเป็นการตอกย้ำว่า เราเป็นของจริง เรายังมีชีวิตอยู่ เรายังควรค่าแก่การหันมามอง

ถ้าใครเขียนไม่เก่ง ก็ต้องเขียนต่อไปครับ ดีไม่ดีก็ค่อยๆฝึกไป เดี๋ยวต้นไม้มันก็โต เดี๋ยวเราก็เก่งขึ้น เพราะไม่มีใครเขียนเก่งตั้งแต่แรก

ผมเคยเห็นคุณแท๊ป รวิต หาญอุตสาหะ เจ้าของผมหองศรีจันทร์ ผู้แต่งหนังสือ คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดแค่หน้าปากซอย เล่าให้ฟังว่าตอนแรกก็ไม่มีใครอ่านเหมือนกัน โพสต์ไปก็ไม่มีคนกดไลค์ เพื่อน ๆ คุณแท๊ปเองก็ยังสงสัยว่า จะเขียนได้เหรอ สุดท้ายก็ได้ออกหนังสือ Best seller หลายเล่มอย่างที่เรารู้จักทุกวันนี้

ความสม่ำเสมอเป็นข้อได้เปรียบสำคัญอย่างนึงของการทำการตลาด เพราะลูกค้าสมัยนี้ลืมง่าย และยุ่งจนลืมคิดว่า “อะไรกันแน่ที่สำคัญ?” ด้วยจำนวน Marketing message มหาศาล
ที่พุ่งเข้าหาเราเป็นหมื่น ๆ ครั้งต่อวัน

ถ้าอยากได้คำไหนเป็นคำจำกัดความของเรา เป็นนามสกุลเชิงการตลาด ให้พูดถึงมันบ่อย ๆ พูดทุกวัน แล้วมันจะกลายเป็นคำอธิบายของเราโดยปริยายครับ


ข้อ 6 เทคนิคในการปรับแต่งกิ่งให้สวยงาม

เทคนิคในการเขียน content คือจะต้องกระชับ ไม่เวิ่นเว้อ ถ้าถามผมว่าต้องสั้นแค่ไหน ก็ต้องสั้นพอที่จะทำให้เค้าติดตาม read more ได้ เพราะถ้าเราเดินเรื่องตอนแรกไม่ดี ถึงเนื้อหาข้างหลังจะสั้นแค่ไหน ผู้อ่านก็ตามเราไปไม่ถึงอยู่ดีครับ

เทคนิคที่นิยมใช้ก็คือ ใช้ตัวเลขทำให้ Content ดูง่ายขึ้น ตัวเลขบ่งบอกเป็นข้อ ๆ นั้นแสดงให้ผู้อ่านรู้ว่าเราสรุปมาให้แล้ว
ยกตัวอย่างเช่น


• 7 เคล็ดลับจีบสาวที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
• 10 เคล็ดลับโปรโมทโฆษณาเฟสบุคให้ได้กำไร
• 5 เทคนิคสร้าง Six pack โดยไม่ต้องเข้าฟิตเนส

พอคนอ่านได้อ่านจบจะต้องรู้สึกว่า “ชีวิตดี๊ดีอ่ะ “ 5 นาทีที่เสียเวลาอ่านไป มันมีประโยชน์ช่วยแก้ปัญหาให้เค้าได้ สามารถพาเค้าเดินจากจุด A ผ่านไปยังจุด B ได้

ถ้าอธิบายง่าย ๆ ก็คือ เขียน content แบบกรวยคว่ำเหมือนพาดหัวข่าวคือ เอาประโยชน์ที่คนอ่านได้มาพาดหัว และถ้าคล้องจองได้จะดีมาก หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องพาดให้น่าดึงดูด น่าค้นหา สนใจและกดอ่านต่อ

ส่วนถ้าใครอยากจะเขียนเล่าเรื่องยาวๆ แบบที่ลง Pantip ได้ก็มี Check list ดังนี้ครับ


1.หา Key message
2.มีตัวละครเด่น
3.หาจุดพีค หรือจุดพลิกของเรื่อง
4.สรุปด้วยความประเด็นที่จับต้องได้
5.ถามความเห็นสร้าง engagement กับผู้อ่าน

การปรับแต่งกิ่งที่สำคัญอีกอย่างก็คือ การเว้นวรรคระหว่างประโยคให้สวยงาม วิธีเช็คการเว้นวรรคที่ดีที่สุดก็คือ อ่านตามออกเสียง สิ่งที่เราเขียนมันจะต้องมีเว้นวรรค จังหวะเดียวกับการพูดของเรานั่นเองครับ

ปล.อย่าลืมเคาะบรรทัดให้มันดูสะอาดตาด้วย อย่าตัวอักษรติดกันเป็นพรืด เพราะคนส่วนใหญ่อ่านจากมือถือมากกว่าคอมพิวเตอร์ ถ้ามาแบบเป็นก้อน ๆ คนส่วนใหญ่จะสไลด์โพสต์ทิ้งไปมากกว่า

ข้อ 7 นาน ๆ ทีใส่ “ปุ๋ย” พรวนดินมั่งก็ดี

นาน ๆ ทีเราอาจจะหาอะไรใหม่ๆมาเซอร์ไพรส์แฟนเพจบ้างก็ดีครับ เช่น การแจกของ แจกสิทธิพิเศษ จะได้สร้างความคึกคักในเพจให้มีมากกว่าการตัวหนังสือกับ จริง ๆ การทำออฟไลน์นั้นส่งเสริมออนไลน์ได้ดีมาก 

เพราะการได้จับต้อง ตัวเป็น ๆ ได้มีบทสนทนาในด้านอื่น ๆ ยิ่งจะทำให้ ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น บางทีเราสามารถคุยเล่น ไร้สาระบ้าง เปิดโอกาสให้เราได้เห็นความคิดของแฟนเพจ 

อย่างเช่น โพสนี้ให้ทุกคนระบายอะไรก็ได้ เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง ที่บอกว่า ออนไลน์กำลังมาแรง แล้วเราก็เลิกทำกิจกรรมออฟไลน์ไปเลย เพราะว่า การพูดบนเวทีใหญ่ ๆ การมีทติ้งแฟน ๆ เป็นการรักษา Evangelist ให้ยังคงอยู่

พวกเค้าคือผู้พิทักษ์ของแฟนเพจเรา คนกลุ่มนี้จะคอยประกาศให้คนอื่น ๆ รู้ถึงความเคลื่อนไหวของเรา บางครั้งเราเรียกว่า Superusers ซึ่งเป็นผู้อ่านที่มีความสำคัญต่อระบบของ Social media อย่างมากมาย
..

ข้อ 8 อย่ามัวแต่ปลูกจนลืมเก็บเกี่ยวดอกผล

= อย่าลืมเก็บ Feedback ของแฟนเพจด้วย ข้อนี้กา 10 ********** เพราะในหลายกรณียอด Like เพจนั้นไม่สำคัญเท่า Engagement ของแฟนเพจ เพราะ Algorithm ของเฟสบุค ไม่ใช่วัดแค่ Like อย่างเดียว แต่ดูจาก comment และการ Share ออกไปมากกว่า

ดังนั้นการสร้าง Engagement ที่ดี อาจจะลงท้ายโพสเราด้วยประโยคที่ว่า เพื่อนๆคิดยังไงมาแชร์กัน ให้แท๊กชื่อคนอื่น, เปิดพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นบลาๆ...

ถ้าเป็นได้ให้ตอบทุก Comment ด้วยความเป็นกันเอง เพราะคนทุกคนอยากคุยกะคน ไม่ใช่ระบบ ทุกคนอยากคุยกับคนที่อยู่หลังรูปโปรไฟล์นั่นเองครับ

คำว่า Awareness นั้นผมคิดว่า ไม่ได้หมายถึงแค่เห็น แค่รู้ว่ามีอยู่บนโลก แต่มันต้องทำให้แฟน ๆ เข้าใจคุณค่าเฉพาะของเรา (Unique selling proposition) อีกด้วย ซึ่งมันเป็นไปได้ครับ ที่ชาวเน็ทเค้าจะกดไลค์ให้โพสต์ของเราด้วยเหตุผลอื่น ๆ นอกจาก ชอบ หรือมีประโยชน์แก่เค้า (หรือบางทีก็แค่อยากให้มันไม่โผล่ขึ้นมาบน Newsfeed อีก) ซึ่งเราจะวัดว่าโพสต์นั้นเป็นโพสต์ที่ดีมี Organic reach สูงหรือไม่ก็ต้องวัดที่ “คนอ่าน”  ไม่ใช่ว่าคนกดไลค์เยอะ ๆ แต่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายเรา โพสต์ที่ถูกอ่านนั่นแหละ ถึงจะมีประโยชน์ต่อการขายสินค้าหรือทำการตลาดในอนาคตข้างหน้า


ข้อ 9 เดินไปรู้จักไร่ข้างๆบ้าง = ขยายฐานแฟนเพจ

ใน 1 แฟนเพจนั้นจะมีคนประเภทนึงติดตามอยู่ เป็นกลุ่มคนที่สนใจสิ่งเดียวกัน ชอบวิธีการสื่อสารเหมือนกัน และในอีกแฟนเพจนึงก็จะมีคนอีกกลุ่มติดตามอยู่ ในบางส่วนอาจจะซ้อนทับกันบ้าง แต่เชื่อได้เลยว่า ถึงแม้ว่าแฟนเพจของเราจะใหญ่เป็นหลักแสน แต่สุดท้ายก็ยังมีคนที่ไม่รู้จักเราหลักสิบล้านอยู่ดี (Users คนไทยในเฟสบุคมีหลักสิบล้านคน)

ซึ่งการทำให้เพจอื่นแชร์ Content ของเรา หรือถ้าเว็บไซต์ใหญ่ ๆ อย่าง sanook.com เอา Content ของเราไปลง แล้วส่ง credit link กลับมายังเพจเรา จะเพิ่มฐานแฟนที่เราไม่เคยแตะต้องได้อีกมหาศาลครับ

การทำความรู้จักเพจที่เป็นกัลยาณมิตรในวงการเดียวกับของเราบ้าง มีข้อดีหลายอย่างเลยครับ เช่น


1.แลกเปลี่ยนความรู้กัน เทคนิคในการทำแฟนเพจมีเยอะมาก ๆ ครับ รายละเอียดบางอย่าง แค่เรานำมาปรับใช้ก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ Content Marketing ได้มหาศาลแล้ว

2.จัดกิจกรรมร่วมกันเพื่อฉีกจากแนวเดิม ๆ ที่แฟนเพจเราเคยทำ ยกตัวอย่างเช่น ทอล์คโชว์ที่มีการฟีทเจอริ่งกัน 2 BE ONE ของ 2morrow fair 2015 ผมได้ขึ้นพูดคู่กับพี่โซอี้ ในหัวข้อ ลูกค้าซื้อคุณก่อน “8 เทคนิคขายสินค้าผ่านตัวคุณ” ซึ่งหลายคนอาจจะไม่ทราบว่า พี่โซอี้ นอกจากจะเป็นเจ้าของแบรนด์ผ้าพันคอ Zoe scraf แล้วยังเป็นท๊อปเซลส์เก่าอีกด้วย ซึ่งก็เป็นการฟีทเจอริ่งความรู้ ที่สนุกสนานมากครับ

3.ทำ Cross Promotion สลับกันโปรโมทข้อดีของแต่ละเพจ เพื่อแลกเปลี่ยนแฟนเพจที่สนใจ เราจะได้ฐานแฟนเพิ่มขึ้นมาเยอะเลยทีเดียวครับจากการทำ Cross Promotion

4.รวมตัวกันเป็น Community ของ Influencer ทำให้สร้าง Marketing Wave ได้ Wave หรือคลื่นของการตลาดที่ผมพูดถึง นั้นหมายถึง การทำแคมเปญจ์เพื่อยึดความสนใจของผู้ชม ในช่วงเวลาหนึ่ง เป็นการ Closed sell หลายครั้งเพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จของแคมเปญจ์นั่นเองครับ


เมื่อเราทำความรู้จักกับเหล่าแฟนเพจอื่น ๆ แล้ว ให้สร้างเป็น Group ในเฟสบุคหรือไลน์ก็ได้
เพื่อสร้างพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์ แฟนเพจเราจะไปได้ด้วยดีก็เพราะ ปฎิสัมพันธ์ระหว่างคนในแฟนเพจกับตัวเรา ซึ่งเช่นเดียวกันสำหรับกลุ่ม Influencer นี้จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เมื่อ

ข้อ 10 สร้างแฟนต้องใช้เวลา ระเบียบวินัย และการเอาใจใส่

การโพสต์ทุกวัน เวลาเดิม ๆ มันดีกว่าทำบ้างไม่ทำบ้างอยู่แล้ว ซึ่งส่งผล 2 อย่างคือ

1.Engagement จะดี เพราะแฟนเพจจะไม่ลืมหน้าหรือคอนเทนต์ของเรา คำว่า Engagement นั้นแปลได้ว่าหมั้นหมาย ไม่ใช่แค่ติดตาม แต่เป็นการผูกพันกับคอนเทนต์ของแฟนเพจเลยทีเดียว

2.Traffic จะดีเป็นเหมือนห้างสรรพสินค้าที่มีสิ่งที่น่าสนใจเข้าไปเลือกชม มีผู้คนอื่น ๆ เข้ามาแสดงความคิดเห็นในแต่ละโพสต์ และเมื่อแชร์แต่ละโพสต์ออกไปก็ไปดึงคนอื่น ๆ ให้วิ่งเข้ามาในแฟนเพจอีก

ช่วงเวลาในการโพสต์ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันครับ เพราะเราต้องรู้นะว่า Lifestyle ของกลุ่มเป้าหมายของเรา นั้นเป็นยังไง เล่นเฟสบุคบ่อย ๆ ตอนช่วงเวลาไหนกี่โมง? เพราะถ้าเป็นกลุ่มที่ Niche มาก ๆ อย่างผู้ใหญ่วัย 45+ เค้ามักจะนอนเร็ว ดังนั้นถ้าเราโพสต์ไปตอนดึกมาก ๆ ก็ไม่มีใครเห็นแน่นอน

วิธีง่าย ๆ คือดูจากช่วงเวลาที่มียอด Like เยอะ ๆ หรือเวลาที่เค้า comment ก็ได้ เช่น ยอดไลค์ขึ้นมาหลายร้อยในช่วงเวลาแค่ชั่วโมงเดียว หรือมีการ share และ Comment มากในระยะเวลาสั้น ๆ นั่นแหละคือ Prime time

คุณผู้อ่านสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างแฟนเพจให้ประสบความสำเร็จเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/1RhLEma

ประวัติผู้เขียน
ธีรพงษ์ (หมอกิม) เศรษฐิวัฒน์
เจ้าของหนังสือ Bestseller 'ขายน้อย ให้(ยอด)ขายเยอะ' และ 'ทำไม่ไม่บอกกู'
ผู้ก่อตั้งเพจ "ทำไมไม่บอกกู : Sales X Marketing"


คุณกอล์ฟ สลิลศักดิ์ วิศวกุล
เจ้าของเพจ "อาเสี่ย"
CEO & Founder Venus and Moon Corporations
Speaker ด้าน Entrepreneurship และ Business Strategy ให้แก่องค์กรและมหาวิทยาลัยชั้นนำ

คุณ บูม ภัทรพล เหลือบุญชู
เจ้าของแฟนเพจ 'JapanSalaryman'
เจ้าของหนังสือ Bestseller 'JapanSalaryman เป็นได้มากกว่ามนุษย์เงินเดือน'

สนับสนุนเนื้อหาโดย SkillLane

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook